พี่น้องสองคนนี้ พี่สาวเป็นสาวงามอายุสิบหก คิ้วใบหลิว ผิวขาวบริสุทธิ์เกลี้ยงเกลาดั่งหยก จอนผมปลิวไสวดุจเซียน สวมชุดคลุมสีขาวปักภาพดอกเหมยแซมหิมะ ขับให้เห็นเรือนร่างโค้งเว้าสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะยอดเขาสูงตระหง่านคู่นั้น งดงามถึงที่สุด ราวกับจะปริออกจากชุดคลุมเลยทีเดียว
จุดที่ควรต้องพูดถึงก็คือ พี่สาวคนนี้ถึงแม้รูปร่างจะดูเผ็ดร้อน ทว่านิสัยเฉพาะตัวกลับมีกลิ่นอายสง่าสุภาพเยือกเย็น มีความขัดแย้งกันอย่างประหลาด
น้องสาวดูไปแล้วอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้างามวิจิตรนัก ราวกับหยกแกะสลัก แต่มีบุคลิกองอาจเหมือนชาย คิ้วกระบี่ชี้จรดจอนผม ในดวงตามีประกายคมกริบข่มขวัญคน ข้างเอวคาดกระบี่ที่ยาวกว่าร่างของนางไว้เล่มหนึ่ง ท่าทางดูแล้วแสนประหลาด
เมื่อครู่ผู้ที่พูดขึ้นมาคือน้องสาว เอ่ยวาจาอย่างผู้ใหญ่ นางมองทางเข้าสุสานที่มีไอร้อนสีดำพุ่งออกมาตรงหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ ทำไมดูแล้วเหมือนรูหนูดำๆ เลย?”
พี่สาวหัวเราะ ตอบกลับว่า “อย่าพูดอะไรซี้ซั้ว สิ่งที่ฝังอยู่ในนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ร่างทั้งสองเข้าไปในปากทางเข้าสุสาน
เวลาเดียวกัน หลุมสวรรค์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชายหญิงที่แต่งกายชุดเผ่าผู้วิเศษแห่งแผ่นดินสุดแดนใต้สิบกว่าคนเข้าไปในสุสานจากปากทางเข้าหนึ่ง
ผู้ที่นำหน้าเป็นหญิงเผ่าผู้วิเศษอายุสิบหกปีคนหนึ่ง คิ้วตาดุจภาพวาด สวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงสั้น ใส่รองเท้าผ้า บนตัวแขวนเครื่องประดับเงินแต่ละชนิดไว้เต็มตัว ขณะก้าวเท้าจะมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ในอ้อมกอดนางมีเด็กชายอายุราวหนึ่งถึงสองปีคนหนึ่ง
ในมือเด็กชายถือถาดหยกเปล่งแสงวาววับ คลุมปกป้องคนทั้งหมดเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง” เด็กชายเอ่ยปากขึ้น
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ชายหนุ่มในชุดสีดำคนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้าไปในทางเข้าสุสานเส้นหนึ่ง ด้านหลังชายหนุ่มมีหญิงชราอีกคนตามมา ผมสีเงินทั้งศีรษะ หลังโค้งค่อม ค้ำประคองตัวด้วยไม้เท้าหัวมังกร ที่เอวคาดเชือกสีเลือดเส้นหนึ่งเอาไว้ ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก
หนึ่งหนุ่มหนึ่งชราเงียบขรึมยิ่งนัก ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในสุสานเทพ
และหลังจากพวกเขาเข้าไปในสุสานไม่นานนัก ก็มีอีกหนึ่งชราหนึ่งสาวน้อยเข้ามา คราวนี้เป็นชายชราผมเทารูปร่างสูงใหญ่กว่าเจ็ดฉื่อในชุดคลุมยาวผ้าป่าน บนศีรษะสวมรัดเกล้าทอง ท่าทีไม่ธรรมดา บนบ่ามีเด็กสาวตัวน้อยอายุราวสี่ห้าปีนั่งอยู่ นางสวมชุดเอี๊ยมสีแดง แขนขาขาวอมชมพูดุจรากบัวเผยให้เห็นอยู่ด้านนอก เท้าเปลือยเปล่า กำลังสะบัดแพรต่วนยาวสีแดงเล่น…
“ท่านลุงหม่า ในนี้มันมืดๆ หลิงเอ๋อร์กลัวจัง” เด็กน้อยหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น บนหน้ามีความกลัวอยู่เสียที่ไหน
“เด็กดี ไม่ต้องกลัว” ชายชราปลอบโยนเด็กน้อยด้วยเสียงเบา
หนึ่งคนชราหนึ่งเด็กน้อยสองคนนี้เข้าสู่สุสานเทพเช่นกัน
……
“เข้าทางไหนดีล่ะ?”
หลี่มู่กับกัวอวี่ชิงสองคนยืนอยู่ที่ส่วนก้นหลุมสวรรค์ ในดินโคลนสีดำเบื้องหน้าปรากฏรูปร่างของเค้าโครงสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดบางส่วน มีทางเข้าคล้ายประตูทั้งหมดสิบสองบาน รูปร่างและขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
ชัดเจนมากว่า สุสานเทพเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดมโหฬารที่ถูกฝังอยู่ส่วนลึกใต้ดิน หลุมสวรรค์มากมายซึ่งระเบิดเปิดออกในเมืองหลินอันเพียงเผยส่วนหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์นี้ออกมาเท่านั้น
“โอกาสวาสนา ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติแต่ละคน เราเข้าจากทางนี้ก็แล้วกัน” กัวอวี่ชิงสุ่มชี้ไปที่ประตูใหญ่ทางเข้าบานหนึ่ง
หลี่มู่หัวเราะร่า “ได้สิ”
ทั้งสองคนเข้าสู่ประตูบานนั้นไปอย่างเอาแต่ใจยิ่ง
เปลวไฟสีดำแผ่เข้ามาหา แม้ไม่มีความร้อน แต่กลับพาสิ่งที่เหมือนพลังกัดกร่อนเข้ามา ไม่ได้มีผลเพียงกายเนื้อเท่านั้น แต่ดูเหมือนจะตรวจจับพลังจิตวิญญาณได้ด้วย น่ากลัวอย่างมาก
หลี่มู่และกัวอวี่ชิงต่างคนต่างแสดงอภินิหารต้านทานพลังกัดกร่อนที่ประหลาดนี้
เข้าประตูไปได้ไม่นาน ก็มาถึงด้านในวิหารใหญ่ที่รกระเกะระกะแห่งหนึ่ง เสาหินที่ล้มพัง รวมไปถึงชุดเกราะขึ้นสนิมบนพื้นและกระดูขาวเน่าผุ อธิบายได้ว่าที่นี่เคยเกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้น เพดานโค้งของวิหารถูกพังทะลุ มีรูใหญ่อยู่มากมาย…
หลี่มู่แหงนหน้ามองเพดานโค้ง ใจลอยเล็กน้อย
สุสานเทพถูกฝังเอาไว้ใต้พื้นดิน ตามหลักการแล้ว ด้านนอกเพดานโค้งควรจะเป็นดินโคลน แต่นี่ทำไมกลับมีแสงดาวรางๆ ลอดผ่านรูใหญ่บนเพดานลงมาได้?
ชุดเกราะกับอาวุธที่แตกหักบนพื้นมีสนิมขึ้นเป็นด่างดวงแล้ว ราวกับแค่ลมพัดก็ทำให้พวกมันสลายไปได้ ทว่าหลี่มู่สุ่มหยิบดาบโค้งที่สนิมกินไปถึงตัวดาบขึ้นมาเล่มหนึ่ง โบกสะบัดเบาๆ อากาศถูกตัดออกราวเนย จากนั้นเขาหยิบดาบยาวที่หลอมตีขึ้นมาเองออกจากมิติเก็บของ เคาะดูเบาๆ ดาบยาวเล่มนั้นก็แตกหักออกเป็นสองท่อนปานเต้าหู้…
“บ้าเอ๊ย…”
หลี่มู่สะดุ้งโหยง
เขาส่งปราณดาบสายหนึ่งฟันไปบนเกราะหน้าอกขึ้นสนิมชิ้นหนึ่งข้างๆ เสียงเคร้งดังขึ้นมา ไม่มีแม้แต่รอยดาบที่ฟันลงไป
“พวกนี้เป็นอาวุธเต๋าที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ เพียงแค่เสียหายในระหว่างการต่อสู้ พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า พลังวิญญาณจึงแตกซ่านกระเซ็นไปหมด ทว่าไม่ต้องสงสัยเลย มันยังแข็งแกร่งอย่างมากอยู่” กัวอวี่ชิงชี้ไปยังโครงกระดูกที่นั่งเอียงอยู่ด้านข้างเสาหินซึ่งล้มลงมา เอ่ยว่า “คนผู้นี้ตอนที่มีชีวิต คงเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไป”
หลี่มู่พยักหน้า
อาวุธเต๋าล้วนขึ้นสนิมเกรอะกรัง เห็นได้ว่าเวลาผ่านไปยาวนานมาก แต่โครงกระดูกร่างนี้กระดูกขาวแวววาว เปล่งแสงประกาย พอจะเห็นได้ว่าช่วงยังมีชีวิตอยู่เขามีพลังฝึกที่แข็งแกร่งมาก
ดูเหมือนว่ากระดูกเช่นนี้ยังมีอีกมากบนพื้น กระจัดกระจายกันอยู่
“อย่างน้อยคงผ่านไปราวสองถึงสามพันปีแล้ว…” หลี่มู่กล่าวอย่างทอดถอนใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา