ตลอดทางที่เดินมา พวกของหลี่มู่ไม่พบใครเลย
ความใหญ่โตของสุสานเทพแห่งนี้ไม่สามารถจินตนาการได้ ราวกับเป็นโลกใบเล็กอีกใบก็มิปาน
“ในสุสานเทพ มีโอกาสพรหมลิขิตอะไรอยู่กันแน่?” หลี่มู่อดถามขึ้นไม่ได้ เขาหาคำตอบด้านนี้จากความทรงจำของเทพมารเพลิงนิลไม่ได้เลย รู้เพียงว่าที่นี่มีสิ่งที่กระทั่งสำนักนอกพิภพยังต้องน้ำลายสอ
กัวอวี่ชิงตอบ “ว่ากันว่า ที่นี่มีเทพเจ้าหลับใหลอยู่หลายร้อย ของสืบทอด อาวุธ และวิชาต่างๆ ของพวกเขาซ่อนอยู่ในวังสุสานใต้ดินแห่งนี้ เคยมีคนรอดชีวิตออกมาจากสุสานเทพ ต่อมาขึ้นปกครองดาราผืนหนึ่งกว่าพันปี และกลายเป็นจ้าวแห่งเขตดาราไป…”
หลี่มู่ฟังแล้วตกตะลึง “อะไรนะ? เดี๋ยวก่อน?” เขาจ้องมองพี่ชายร่วมสาบานด้วยสีหน้ามึนงง เอ่ยขึ้นว่า “ที่ที่เทพเจ้าหลับใหลอยู่หลายร้อย? ไม่ใช่แค่องค์เดียวหรือ”
“ไม่ใช่” กัวอวี่ชิงกล่าวตอบ “ตำราต้องห้ามส่วนหนึ่งของวิหารเทพหมาป่าเคยพูดถึงเนื้อหาบางส่วน ว่ากันว่าขุนพลเทพของราชวงศ์เทพโบราณสู้รบและตายลงที่นี่ ไม่ใช่หลุมฝังศพของเทพเจ้าองค์หนึ่งแต่อย่างใด”
หลี่มู่เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ ที่มาของสุสานเทพอาจจะบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าที่ตนเองประเมินไว้ก่อนหน้า
เมื่อมาถึงใต้กำแพงเมือง ประตูเมืองสูงตระหง่านราวภูเขา ยักษ์สามารถเดินผ่านไปได้
สายตาของหลี่มู่จับจ้องตัวอักษรใหญ่สามตัวที่แขวนอยู่ด้านบนประตูเมือง ละสายตาไม่ได้อยู่นาน
ตัวอักษรนั้นคือ…
ประตูสวรรค์ทักษิณ
นี่ทำเอาหลี่มู่ตกตะลึงอย่างมาก
เพราะอักษรสามตัวนี้ สำหรับคนจีนทุกคนแล้วจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ในตำนานไซอิ๋ว ประตูสวรรค์ทักษิณเป็นประตูของวังสวรรค์ และในตำนานอื่นๆ ของลัทธิเต๋า ประตูสวรรค์ทักษิณก็เป็นทางเข้าจากแดนมนุษย์สู่แดนเซียน บนดาวโลก ทั้งหมดนี้มีฐานะที่พิเศษในใจของชาวจีน
ประตูเมืองทางเข้าสุสานเทพนี้ก็ชื่อประตูสวรรค์ทักษิณ?
เรื่องบังเอิญ?
หรือว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกัน?
หลี่มู่สังเกตอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรประหลาด
เพียงแต่อักษรสามตัวนี้ ลายมือมีชีวิตชีวา แข็งแกร่งทรงพลัง แกะสลักอยู่บนด้านบนประตู ตัวอักษรเป็นร่องลึกลงไป พอมองนานเข้า หลี่มู่รู้สึกว่ามีความรู้สึกรุนแรงดุดันถาโถมเข้ามาหา ราวกับขวานดาบฟาดลงมา กายเนื้อแทบจะปริแตก ต้องรีบเก็บสายตากลับทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” กัวอวี่ชิงมองหลี่มู่
หลี่มีส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
ทั้งสองคนเดินเข้าประตูสวรรค์ทักษิณ เข้าสู่ด้านในเมือง
ด้านในเป็นซากปรักหักพัง หออาคารที่พังทลายลงมา ถนนหนทางที่เสียหาย เทวรูปที่ล้มพัง และยังมีแม่น้ำแห้งขอด ต้นไม้ซึ่งกลายเป็นหิน ความรู้สึกวังเวงจากการถูกกลืนด้วยคลื่นกาลเวลาถาโถมเข้ามา
พวกหลี่มู่ทั้งสองคน เพียงไม่นานก็พบกับสิ่งใหม่
หอหลังหนึ่งพังทลายลงกว่าครึ่ง ดาบยาวหนึ่งเล่ม หอกใหญ่อีกหนึ่งเล่ม ยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้ ไม่มีร่องรอยสนิมสักนิด ส่องแสงสว่างวูบวาบ คมมีดเย็นเยียบ แบบในการสร้างเป็นเอกลักษณ์ ไม่มีการสลักอักษร ไม่รู้ที่มา ทว่าจากพลังวิญญาณที่แฝงไว้ด้านใน ชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นสุดยอดของอาวุธเต๋า
หลี่มู่หยิบดาบยาวมา ด้ามดาบมีแพรสีแดงที่สะดุดตา ผ่านไปกว่าพันปีกลับไม่ผุพัง บนคมดาบมีสีแดงเข้มเป็นจุดๆ ราวกับถูกเลือดย้อม เมื่อส่งปราณแท้เข้าไปเล็กน้อย ค่ายกลตราประทับเต๋าด้านในตัวดาบถูกกระตุ้นทันใด เงาดาบยาวเกินกว่าสามจั้งปรากฏออกมา ประดุจอาวุธเทพก็มิปาน
“ดาบดี” หลี่มู่เอ่ยปากชม
คุณภาพของดาบนี้อยู่เหนือกว่าดาบวัฏจักรและมิติเก็บดาบเสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่ไร้เจ้าของ
นี่มันง่ายเกินไปแล้วกระมัง พอเข้ามาก็ได้รับสมบัติเช่นนี้เลยหรือ?
ในมือกัวอวี่ชิงกำหอกยาวไว้ ยาวราวเจ็ดฉื่อได้ ความหนาขนาดไข่ห่าน ลวดลายก้นหอย มีพู่แดง คล้ายกับอุปกรณ์ในการเล่นงิ้วบนดาวโลก ทว่าเขาลองสะบัดด้วยมือเบาๆ ลายอาคมในตัวหอกถูกกระตุ้น มังกรยักษ์ตัวหนึ่งคำรามออกมาจากหอก พลานุภาพน่ากลัว สามารถโจมตีขั้นเทวะได้
และนี่เขาเพียงแค่สะบัดมันส่งๆ เท่านั้น
ทั้งสองคนสบตากัน บนใบหน้ามีแววยินดีปรากฏขึ้น
นี่เป็นสมบัติของแท้แน่นอนเลยเชียว
หากอยู่ที่โลกภายนอกก็สามารถทำให้เก้ายอดคนจ้องตาเป็นมัน เป็นได้ถึงระดับสมบัติสำนักเทพเลยทีเดียว ทว่าอยู่ที่นี่กลับเป็นเหมือนขยะข้างทาง แค่เข้ามาในซากหอที่พังถล่มก็หาเจอแล้ว
หาต่อไป
ทั้งสองคนเริ่มค้นหาบริเวณรอบๆ ซากปรักหักพังผืนนี้
ไม่นานนักก็ได้รับกับสิ่งใหม่มา
หลี่มู่พบโล่สีดำอันหนึ่ง เกราะโซ่เหล็กครึ่งท่อนบนชิ้นหนึ่ง และยังมีเกราะหน้าอกที่สมบูรณ์ดีอีกชิ้นหนึ่ง ส่วนกัวอวี่ชิงก็พบหมวกเหล็กใบหนึ่ง รองเท้าสงครามคู่หนึ่ง และเกราะไหล่อีกคู่ ล้วนเป็นระดับสุดยอดแห่งอุปกรณ์เต๋าทั้งสิ้น
นี่เป็นสมบัติที่นำมาช่วยเพิ่มพลังในศึกครั้งนั้นได้เลย
ทั้งสองกวาดทั้งหมดมาเป็นของตัวเองอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
ผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนที่แต่เดิมทรงพลังสั่นสะเทือนฟ้าดิน การแต่งตัวในตอนนี้ดูแล้วคล้ายกับ….ทหารหนีสงครามอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเราทั้งสองทำเช่นนี้ ดูไม่ค่อยจะมีอนาคตเท่าไรนะ” กัวอวี่ชิงพูดว่าตนเอง
หลี่มู่หัวเราะฮี่ๆ มุมปากเหยียดออกจนถึงใบหูแล้ว พยักหน้าเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว รู้สึกเหมือนกระต่ายพุ่งเข้าไปในไร่หัวไชเท้าเลย มีแต่สมบัติเต็มไปหมด แต่ข้ารู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้ล้วนถูกคนมองว่าเป็นขยะ แล้วก็ทิ้งเอาไว้เฉยๆ”
กัวอวี่ชิงที่ทิ้งมาดของจ้าววิหารเทพหมาป่าไปนานแล้วพูดว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น พวกเราเหมือนกับพวกเก็บขยะ…”
หลี่มู่กล่าว “ขยะเช่นนี้ ต่อให้มีอีกเป็นพันข้าก็เก็บหมด”
กัวอวี่ชิงพยักหน้า “พูดอีกก็ถูกอีก”
“วะฮ่ะๆๆๆๆๆ…”
ทั้งสองคนหัวเราะร่าอย่างคนไม่มีอนาคตอีกครั้ง
ถ้าหากคนภายนอกมองมา ก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าจ้าววิหารเทพหมาป่ากับผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งหนึ่งในปัจจุบันอย่างหลี่มู่จะมาหัวเราะอย่างมีลับลมคมในเช่นนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา