ในช่วงเวลายาวนานต่อมา โชคของพวกหลี่มู่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ใจกลางเขตสุสานมีตำหนักสุสานนับร้อยพัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนปิดอยู่ จากที่ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักกำเนิดฟ้ากล่าว หมู่ตำหนักสุสานที่ปิดอยู่นี้ ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ หลี่มู่จึงไม่คิดจะสร้างความลำบากให้ตัวเอง ทำได้เพียงคลำหาต่อไป
โชคของกัวอวี่ชิงกลับไม่เลวนัก
เขาพบสมบัติสองชิ้นอย่างรวดเร็วในตำหนักสุสานชื่อว่าตำหนักเจ็ดวิหค
หนึ่งในนั้นเป็นพัดห้าสีเล่มหนึ่ง หลังจากส่งปราณแท้เข้าไป เพียงโบกเบาๆ ก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา พลานุภาพเทียบเท่ากับไฟจักรพรรดิของหลี่มู่ น่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นยังมองออกได้ว่ากัวอวี่ชิงยังไม่เข้าใจพลังทั้งหมดของพัดเล่มนี้ หากสามารถฝึกได้สมบูรณ์ พลานุภาพของเปลวไฟอาจจะสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
อีกชิ้นหนึ่งเป็นหอกยาวหนึ่งเล่ม ตัวหอกเรียบง่ายและโบราณ เรืองแสงสีม่วงอ่อน ราวกับมีสายฟ้าแฝงซ่อนอยู่ด้านใน ความยาวเจ็ดฉื่อโดยประมาณ ปลายหอกแหลมคม มีแสงเย็นเยียบวาววับ ตัวหอกมีลวดลายหมุนเป็นเกลียว สัมผัสเย็นสบายตั้งแต่บนจรดล่าง บนตัวหอกสลักอักษรไว้ว่า…หอกอัสนีทะยาน
กัวอวี่ชิงชอบหอก ไม่คิดว่าจะพบหอกอัสนีทะยานเล่มนี้เข้า
ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าหอกนี้ไม่ธรรมดา หลังจากที่กัวอวี่ชิงปลุกเสกแล้ว สามารถซ่อนมันไว้ในร่างกายเพื่อบ่มเพาะให้ความอบอุ่น เพียงคิดในใจหอกก็จะปรากฏในมือ ตัวหอกสร้างสายฟ้าได้ด้วยตัวเอง ขณะซ่อนไว้ในร่างกายสามารถบำรุงฝึกฝนกายเนื้อ ผิดแผกน่าอัศจรรย์โดยแท้
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้คนอิจฉามากขึ้นไปอีกคือ ค่ายกลที่อยู่ด้านในหอกอัสนีทะยานเล่มนี้มีวิชา ‘อัสนีทะยานสามสิบหกท่า’ แฝงอยู่ กัวอวี่ชิงฝึกปุ๊บก็เป็นทันที เมื่อสำแดงออกมา หอกไร้เงาดุจอัสนี ก่อกวนสายฟ้าวายุ ความเร็วอยู่เหนือเสียง ยามกัวอวี่ชิงกุมหอกไว้ในมือ ความเร็วของท่าร่างจะเพิ่มเป็นเท่าตัว รวดเร็วเหนือเสียงประหนึ่งภาพมายา เร็วไปถึงขีดสุด
ชายจมูกงุ้ม ชายคิ้วติดกัน และพวกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าอิจฉาตาร้อน
สมบัติใดๆ ที่ค้นเจอในตำหนักตรงใจกลางเขตสุสานแห่งนี้ล้วนเป็นยุทโธปกรณ์ที่ขุนพลสวรรค์ซึ่งสู้รบตายในวันวานเหลือทิ้งไว้ อย่างน้อยก็เป็นสมบัติอาวุธระดับสมบัติเต๋า หากหยิบออกไปในเขตดาราเทพวีรชน ไม่รู้ว่าจะมีขั้วอำนาจใหญ่ที่อิจฉาริษยาอยู่เท่าใด
ส่วนพวกเขาทั้งสี่ ลำบากแทบตายกว่าจะเข้ามาในเขตใจกลางนี้ได้ กลับไม่ได้อะไรติดมือมาเลย ซ้ำยังถูกคนกดขี่เป็นทาส…มีความรู้สึกโมโหอัดอั้นอย่างพวกที่มาถึงกองสมบัติแต่กลับไปมือเปล่า
“กลับไปต้องคิดบัญชีกับผู้อาวุโสที่ดูปฏิทินกำหนดเวลาให้จงได้ บอกว่าช่วงยามที่พวกเราลงมาเป็นเวลามงคลไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงย่ำแย่แบบนี้ได้”
“ตาเฒ่านั่น คงไม่ได้รับสินบนใครแล้วให้เวลาเคราะห์กับพวกเรามาแทนกระมัง?”
“เป็นไปได้”
“เวลามงคลอะไรจะมีคนตายเช่นนี้? ศิษย์น้องสวี่ก็ถูกทุบตายไปแล้วด้วย…”
ทั้งสี่คนแอบตำหนิอยู่ในใจ
แต่ว่า พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไรกับหลี่มู่ทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้ประจักษ์ความโหดเหี้ยมของหลี่มู่แล้ว ผู้สืบทอดจากสำนักแสงเงา คนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจคนนั้นยังถูกหลี่มู่วางแผนเล่นงานจนตาย นับประสาอะไรกับพวกเขา?
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีการค้นพบอะไรอีก
“ผิดปกติแฮะ” หลี่มู่หยุดฝีเท้าลง พิจารณาอย่างละเอียด
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เขาหันกลับมากะทันหัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คว้าตัวศิษย์ทั้งสี่เข้ามา แล้วรัวกำปั้นลงไปไม่ยั้ง
เสียงหมัดปึกปักดังสนั่น รัวลงบนร่างกายของศิษย์ทั้งสี่แห่งสำนักกำเนิดฟ้าปานลมฝนพายุคลั่ง น่าเวทนายิ่งนัก
ศิษย์ทั้งสี่ถูกอัดจนมึนศีรษะ
เกิดอะไรขึ้น โดนอัดอีกแล้วหรือ?
รอจนหลี่มู่ชกเสร็จ ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสี่คนก็นอนหมอบจมูกเขียวหน้าบวมปูดอยู่บนพื้น สายตาเลื่อนลอย ข้าเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน? ใครตีข้า? แล้วข้าจะไปที่ใด?
“พูดมา พวกเจ้าทั้งสี่ยังปิดบังเรื่องอะไรข้าไว้” หลี่มู่กล่าวอย่างเหี้ยมโหดโฉดชั่ว “ถ้ายังคิดจะโกหกข้า เชื่อไหมว่าข้าจะซัดกระดูกของพวกเจ้าให้หัก แล้วดูดไขกระดูกออกมาให้หมดเลย?”
“ไม่ ไม่มีแล้ว…” ชายจมูกงุ้มตอบด้วยสีหน้าลนลาน
หลี่มู่บีบนวดหมัดตัวเองจนส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา พูดว่า “ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่รู้จริงๆ ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร ให้โอกาสสุดท้ายพวกเจ้า ถ้ายังไม่พูดความจริงออกมา ข้าจะทุบพวกเจ้าให้ตาย แล้วเอาศพไปเรียงเป็นอักษรคำว่าตายเสีย”
ชายจมูกงุ้มหวาดกลัวลนลานทันที
ที่เหลืออีกสามคนก็มีสีหน้าตื่นตระหนก
ถูกมองออกแล้วหรือ?
มองออกได้อย่างไรกัน?
นี่…จะทำอย่างไรดี?
ทั้งสี่คนสบตากันแวบหนึ่ง ปณิธานที่จะดิ้นรนต่อต้านแทบจะสลายไปในพริบตา พวกเขาเห็นคนที่ถูกหลี่มู่ลงมืออย่างอำมหิตด้วยตาตนเองมาแล้ว ศิษย์น้องสวี่ที่ถูกหมัดชกจนระเบิด ตอนนี้ก็ยังไม่พ้นเจ็ดวันเลยด้วยซ้ำ
“ข้ายอม ข้ายอมแล้ว…” ชายจมูกงุ้มขลาดกลัวก่อนใครเพื่อน
……
“นี่หรือขุมทรัพย์ของสุสานเทพ?”
หมิงเยวี่ยถือกระบองทองแดง โบกวาดจนเกิดลมแรง
“ที่นี่ไม่น่าจะเป็นเขตใจกลาง พวกเราอยู่รอบนอก แต่ว่าสิ่งของในซากปรักหักพังพวกนี้ หากหยิบออกไปก็ทำให้จอมยุทธ์สำนักใหญ่บนแผ่นดินมารุมแย่งชิงกันได้” ชิงเฟิงนั่งอยู่บนรถเข็น พลางใช้พลังจิตวิญญาณควบคุมดาบบินเล่มหนึ่งให้ลอยอยู่ตรงหน้าเขา สังเกตอย่างละเอียดจนได้ข้อสรุปนี้
หวางซืออวี่ทำปากมุ่ยเหมือนเป็นลูกติดภรรยาใหม่
ไม่แปลกที่เธอจะกลุ้มใจ
หลังจากมาถึงที่นี่ สิ่งของทั้งหมดล้วนแฝงท่วงทำนองเต๋าไว้ หนักหน่วงเกินไป แค่เศษกระเบื้องในซากปรักหักพังนี้เธอก็ยังขยับไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอาวุธชุดเกราะหรือโล่เหล่านี้เลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา