สรุปเนื้อหา บทที่ 445 การมาถึงของหลี่มู่ – จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บท บทที่ 445 การมาถึงของหลี่มู่ ของ จอมศาสตราพลิกดารา ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ในสวนผลไม้
บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตกลายเป็นคนใบ้กินหวงเหลียนไปแล้ว อึกอักพูดไม่ออก โคลนเหลืองตุงอยู่เป้ากางเกง ไม่ใช่ขี้ก็คือขี้นั่นแล[1]
จอมมารจันทราโลหิตก็หน้ามึนงงเช่นกัน
นี่มันสถานการณ์อะไร
“ตอนที่นายของข้ามาถึง ประตูของวัดห้าแผ่นดินก็ถูกเปิดออกแล้ว อาจจะมีคนมาชุบมือเปิบไปก่อน” จอมมารจันทราโลหิตอธิบายออกมาเสียงดัง
“เจ้ามันตัวอะไร? มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในที่นี้?” ร่างเงาที่ถูกคลุมทับลงมาด้วยปราณมารฟ้าทั้งตัว โบกสะบัดชายเสื้อ ซัดพลังทำลายล้างอันน่ากลัวโจมตีใส่จอมมารจันทราโลหิตตรงๆ
จอมมารจันทราโลหิตรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทั่วร่างเป็นเครื่องลายครามที่ถูกบีบอัดจนจะแตก พลังของอีกฝ่าย น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานได้เลย
กลางฝ่ามือบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต ลูกไฟลูกหนึ่งพุ่งออกมา กวาดเอาพลังกดดันนั้นสลายไป เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “จะตีสุนัขเขาก็ควรจะดูเจ้าของเสียหน่อย จอมมารฟ้า เจ้าจะกำเริบเสิบสานไปแล้ว”
จอมมารฟ้ายิ้มเย็นชา “แน่นอนว่าข้ากำเริบเสิบสานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ จุติลงมาแค่ไม่กี่วัน ฟื้นพลังวิชากลับมาได้ไม่เท่าไร กลับกล้าอมผลเซียนไว้คนเดียว ข้าว่าเจ้ามันเหมือนงูที่พยายามจะกลืนช้างนั่นล่ะ รนหาที่ตายแท้ๆ”
สายตาของคนอื่นๆ ที่มองมายังบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต ก็ไม่ได้เป็นมิตรเท่าไรนัก
“ผลไม้เซียน เจ้าไปหนึ่ง ส่วนอันอื่น ส่งออกมา” ชายวัยรุ่นชุดดำสะพายกระบี่เอ่ยปากขึ้น
น้ำเสียงการพูดของเขาแปลกประหลาด สามคำหยุด ราวกับว่าถ้าพูดเกินไปอีกคำจะขาดทุน ทั่วร่างเย็นชาราวรูปปั้นที่สลักจากน้ำแข็งเก้าชั้นฟ้า กลิ่นอายห้ามใครเข้าใกล้ไหลเวียนออกมา
“ถูกต้อง เห็นว่าเจ้ามาถึงก่อน ผลเซียนสี่ผล เจ้าเก็บเอาไว้หนึ่งผลได้ แต่จะอมไว้ทั้งหมดเป็นไปไม่ได้” เยวี่ยกั๋วเซียงในมือถือ ‘เกราะไฟเก้ามังกรเทพ’ ไว้ พูดจามีความชอบธรรมอย่างมาก เอ่ยต่อว่า “เจ้าก็เป็นคนฉลาด อย่ายั่วให้กลุ่มคนโกรธดีกว่า”
สองสาวพี่น้องก็จับจ้องมาที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต
พวกเขาเหล่านี้ ล้วนเป็น ‘เพื่อนเก่า’ จากดาราสมุทรทั้งสิ้น
“เหอเหอ อย่าละโมภนักเลย” เด็กน้อยเผ่าผู้วิเศษ ตอนนี้ขึ้นไปขี่คอของสาวน้อยคนนั้นแล้ว เหมือนกับเด็กธรรมดาเล่นขี่ม้าอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้น “ผลเซียนสี่ผล นี่เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เจ้าคิดจะอมไว้คนเดียว ลองถามดวงชะตาในตัวเจ้าก่อนไหมว่ามีพอหรือไม่ ต่อให้สำนักทะเลโลหิตของเจ้า ก็ยังไม่มีความมั่นใจนี้เลย อย่าหาเรื่องทำลายตัวเองดีกว่า”
ส่วนลึกในใจของบุตรศักดิ์สิทธิ์ กำลังด่าบุพการีอยู่
เขาสูดหายใจลึก เอ่ยว่า “ทุกท่าน ข้าใช้ชื่อเสียงบรรพบุรุษโลหิตเพื่อสาบานเลย ถ้าหากข้าอมผลเซียนเอาไว้จริง อย่าว่าแต่สี่ผลเลย ต่อให้แค่ผลเดียว ก็ขอให้บ่อโลหิตของข้าแห้งเหือด สายฟ้านับหมื่นผ่าข้าให้ตายเป็นอย่างไร?”
ตอนนี้เอง ขั้วอำนาจทุกฝ่ายในสวนผลไม้ล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
ใช้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษมาสาบาน นี่เป็นการสาบานที่โหดร้ายที่สุดของทุกชนเผ่าสำนักเซียนแห่งดาราจักรเลยทีเดียว ถ้าหากผิดคำสาบาน ผลลัพธ์จะน่าเวทนาอย่างมาก คำสาบานสามารถก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมของกฎเกณฑ์ฟ้าดินแห่งจักรวาลได้ ถือเป็นพันธสัญญาที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างมาก
หรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้อมผลเซียนเอาไว้จริงๆ?
“ดูจากหลักการแล้ว ลองคิดถึงเวลาที่วัดห้าดินแดนเปิดออก เจ้าเป็นคนแรกที่เข้ามาด้านในสวนผลไม้นี้จริง แต่ว่า…” พี่น้องสองสาวคนพี่ปู้เฟยเหยียนขมวดคิ้ว จู่ๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เอ่ยขึ้นว่า “แย่ล่ะ ทุกคนรีบค้นในวัดห้าดินแดนเร็ว ถ้าหากบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอาผลเซียนไปจริงๆ คนที่ขโมยผลตัวจริงตอนนี้จะต้องยังไปได้ไม่ไกล อาจจะยังหลบซ่อนอยู่ด้านในก็เป็นได้”
พูดจบ นางก็ทำทันที พุ่งออกจากสวนผลไม้ไปเป็นคนแรก บินทะยานไปยังประตูใหญ่วัดห้าแผ่นดิน
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะมาพัวพันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว คนที่ขโมยไปอาจจะหนีไปได้
“เฝ้าเขาเอาไว้” จอมมารฟ้าชี้ไปยังบุตรศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อไม่ใช่เจ้าที่เอาผลเซียนไป หากไม่ได้รู้สึกผิดต่อตนเองแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่าไปไหน รออยู่ที่นี่นั่นล่ะ ก่อนที่จะหาตัวคนขโมยผลจริงเจอ เจ้าห้ามออกห่างจากระยะสายตาของพวกเรา”
ในใจบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตเดือดดาล ทว่าก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัว
เพราะเขารู้ว่าในตอนนี้ห้ามยั่วโมโหกลุ่มคน และไม่ใช่เวลามาโอ้อวดเล่นอารมณ์กันด้วย หนำซ้ำเขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าใครกันแน่ที่สามารถขโมยผลเซียนไปได้ก่อนตนเอง เขาเองก็อยากจะได้ผลเซียนเช่นกัน
ผลเซียนสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
ประตูใหญ่วัดห้าแผ่นดิน พวกของชิงเฟิงกำลังเผ่นหนีด้วยความเร่งร้อน
ภายใต้ ‘ค่ายกลสูงสุดสยบมาร’ พื้นที่รัศมีนับหมื่นลี้ของวัดห้าแผ่นดิน ไม่มีใครสามารถที่จะเหาะเหินได้ ทำได้เพียงการวิ่งบนพื้นดินเท่านั้น ความเร็วของพวกเขาจึงไม่ถือว่าเร็วมาก
จู่ๆ แสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า ฟาดฟันเป็นร่องลึกนับสิบจั้งด้านหน้าพวกหมิงเยวี่ย รอยแตกกว้างกว่าสามจั้ง ตัดขาดทางเดินของพวกเขาลงตรงๆ
“หยุดก่อน”
ชายหนุ่มเคร่งขรึมชุดดำที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง เข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดมากกว่าพวกของหมิงเยวี่ย แผ่กลิ่นอายทิวเขาโถมทะเลออกมาหยุดยั้งพวกเขาไว้
หมิงเยวี่ยทั้งสี่คนหันกลับ หนีตรงไปอีกด้านอย่างไม่ลังเล
“ทางนี้ห้ามผ่าน” ฝ่ามือหยกขาวขนาดยักษ์ฝ่ามือหนึ่งประทับลงมา สั่นสะเทือนพื้นจนเกิดรอยประทับราวบ่อน้ำลึกขนาดใหญ่ ตัดขาดเส้นทางนี้ในทันที
สองสาวพี่น้องปรากฏตัวแล้ว
ชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั่งสี่คนไม่รีรอ พุ่งหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“หยุดตรงนี้เถอะ” ปราณมารฟ้าไหลเวียนราวกับกำแพงสีดำทิวหนึ่งสกัดกั้นเส้นทางไว้ พลังกัดกร่อนอันน่ากลัวไหลเวียนตัดขาดทั้งหมดลง
ชิงเฟิงหมิงเยวี่ยเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง
“เหอๆ เป็นขโมยตัวจ้อยจริงๆ เยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้าอยู่ที่นี่ ถอยกลับไปเสีย” ประกายกระบี่สว่างระยิบระยับ แสงกระบี่ไหลเวียนเต็มผืนฟ้า เยวี่ยกั๋วเซียงปรากฏตัวขึ้นสกัดกั้นอีกทางไว้
ในที่สุด ชิงเฟิงหมิงเยวี่ยได้ถูกล้อมเอาไว้ตรงกลาง
หนีไม่ได้แล้ว
“เอ๋? กลิ่นอายของคนพื้นเมืองจากดาวดวงนี้ ไม่สิ วานรตัวนี้ไม่ใช่คนพื้นเมือง เอ๋ ก็ไม่ถูกอีก สาวน้อยคนนี้…” เด็กชายเผ่าผู้วิเศษขี่อยู่บนคอของสาวงาม ดวงตาไหลเวียนด้วยแสงประหลาด สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
เขาใช้เนตรอภินิหารเผ่าผู้วิเศษ มองออกว่าร่างเดิมของหยวนโห่วคือวานร ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนฟ้าดินฝั่งนี้ มีปราณเซียนอยู่ ส่วนหวางซืออวี่กลับไม่ใช่คนของโลกนี้ และชิงเฟิงหมิงเยวี่ยกลิ่นอายก็แปลกประหลาด ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนพื้นเมืองของดาวดวงนี้ แต่พอพิจารณาอย่างละเอียดกลับเหมือนมีเหตุและผลอื่นอยู่
นี่ทำเอาเด็กชายเผ่าผู้วิเศษสับสนไปบ้าง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” จอมมารฟ้าทั่วตัวปกคลุมด้วยปราณมารฟ้าสีดำ ดวงตาทั่งคู่ราวกับมีเปลวไฟยิงออกมาส่องอยู่บนตัวของคนทั่งสี่ เอ่ยต่อว่า “ทำไมจึงสามารถเข้ามาในวัดห้าแผ่นดินได้ล่วงหน้า?”
นี่เป็นปัญหาที่พวกเขาคิดไม่ตก
วัดห้าดินแดนมีพลังเทวะและพลังมารกดอัดเอาไว้ทั้งคู่ เทพและมารตรึงเอาไว้ซึ่งกันและกัน พันปีต่อมา มีเวลาที่กำหนดไว้เพียงพิเศษเท่านั้น ประตูใหญ่จึงจะเปิดออก
พวกเขาเมื่อครู่ถึงแม้จะมีเข้ามาก่อนมาหลัง แต่ล้วนตรงมาที่นี่เป็นลำดับแรก กลับถูกคนแย่งชิงไปก่อนเสียนี่ อธิบายได้ว่า ก่อนหน้าที่จะถึงเวลาที่กำหนดไว้เป็นพิเศษจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งดาราจักรเทพวีรชนได้คำนวนเอาไว้ คนพื้นเมืองทั้งสี่คนนี้ได้เข้ามาก่อนแล้ว
มันไม่สอดคล้องกับตรรกะ
ชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั้งสี่คนไม่พูดอะไร
ต่อให้เลอะๆ เลือนๆ อย่างหมิงเยวี่ยก็ยังเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้ยุ่งยากเสียแล้ว
“ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร ผลเซียนจะต้องถูกโจรจ้อยสี่คนนี้ขโมยมาแน่นอน ไม่ต้องถามคำถามที่ไร้ซึ่งความหมายพวกนั้นแล้ว” เยวี่ยกั๋วเซียงสีหน้าเหี้ยมเกรียม จ้องมองทั้งสี่คน เอ่ยต่อว่า “ผลเซียนล่ะ ส่งออกมาเสีย”
“ถูกต้อง ส่งผลเซียนออกมา” หญิงชราไม้เท้าดำเอ่ยขึ้นอย่างหน้าเนื้อใจเสือ
หมิงเยวี่ยถุยออกมาหนึ่งที “สุนัขที่ดีไม่มาขวางทางกันหรอก หลีกไป”
ห่างออกไป บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตและจอมมารจันทราโลหิตเดินเข้ามา
จอมมารจันทราโลหิตเมื่อเห็นหมิงเยวี่ยหวางซืออวี่ก็จำได้ทันที วันนั้นในศึกพรรคกระยาจกที่เขาวางแผนไว้ ท้ายสุดถูกหลี่มู่พังลงไม่เป็นท่า เขาเองก็ถูกหลี่มู่ตะเพิดออกมา แต่ว่าก่อนหน้าที่จะออกมา เขาที่อยู่ห่างออกมาระยะหนึ่ง ได้มองเห็นหมิงเยวี่ยกลายเป็นประมุขพรรคกระยาจก
แต่ว่าเขาไม่ได้พูดมันออกมา ทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน
“ดึงมาสอบปากคำเสียก็จบ” เยวี่ยกั๋วเซียงลงมือทันที แสงกระบี่หลายสาย ฟาดฟันลงไปยังแขนขาของพวกชิงเฟิงหมิงเยวี่ย คิดจะตัดแขนขาพวกเขาทิ้งเพื่อให้หนีไม่ได้
ปู้เฟยเหยียนยกมือขึ้น ประทับฝ่ามือกระจายฟาดใส่แสงกระบี่
“เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?” เยวี่ยกั๋วเซียงมองออกไปด้วยความเดือดดาล
“อู้อี้อู้อี้….” น้องสาวที่ถูกปิดผนึกปากเอาไว้ ชักดาบยาวที่สูงกว่าศีรษะตนเองออกมา วาดไปทางเยวี่ยกั๋วเซียงในท่าทีประมาณว่าจะพูดจาก็เกรงใจกันบ้างไม่เช่นนั้นแม่จะเข้าไปฟันเจ้าแน่ เหมือนกับแม่ไก่ตัวน้อยที่ฮึกเหิมสู้เก่งอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนปู้เฟยเหยียนไม่พูดอะไร ส่งยิ้มมองไปทางทั้งสี่คน สายตาท้ายสุดตกอยู่ที่ตัวหมิงเยวี่ย ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอย่างสนิทสนมว่า “น้องสาว บอกพี่สาวได้ไหม ว่าพวกเจ้าได้หยิบเอาผลเซียนไปหรือเปล่า?”
หมิงเยวี่ยมองนาง “เป็นพี่สาวใครกันล่ะ? เจ้าคิดว่าคู่ควรหรือ?”
“อู้อี้อู้อี้…” คนน้องโบกรำดาบยาวฟันเข้ามา
ปู้เฟยเหยียนฟาดฝ่ามือไปหนึ่งที ตบน้องสาวตนเองลงไปพังพาบอยู่ที่พื้น จากนั้นหันกลับมา ยังคงพูดกับหมิงเยวี่ยอย่างอ่อนโยน “ผลเซียนสี่ผลนั่น สำคัญต่อพวกเราอย่างมาก ขอแค่เจ้าส่งพวกมันออกมา พี่สาวรับประกัน ว่าจะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ และจะปล่อยพวกเจ้าออกไป”
หมิงเยวี่ยตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นว่า “จริงหรือ?”
ปู้เฟยเหยียนตอบ “แน่นอน”
หมิงเยวี่ยเอ่ยต่อ “เช่นนั้นดีเลย เจ้าปล่อยพวกเขาสามคนไปก่อน ให้ข้าอยู่ที่นี่ รอจนพวกเขาปลอดภัย ข้าจะบอกเจ้าว่าผลเซียนอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร?”
ปู้เฟยเหยียนขมวดคิ้ว
นางเลือกมาคุยกับหมิงเยวี่ย เพราะรู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้ คล้ายกับน้องสาวโง่เง่าของเธอ โดยเฉพาะนิสัยเฉพาะตัว เป็นพวกเลอะๆ เลือนๆ เหมือนกัน น่าจะหลอกล่อได้ง่ายหน่อย ทว่าอีกฝ่ายกลับทิ้งเงื่อนไขมาเช่นนี้…
“ไม่ต้องถามแล้ว ผลเซียนถูกพวกเจ้ากินไปหมดแล้ว” บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตที่เงียบมาตลอดได้เดินเข้ามา เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าอึดอัด “ทุกท่านลองสังเกตอย่างละเอียด บนตัวของคนเหล่านี้ มีกลิ่นอายของต้นผลไม้เซียนอยู่”
ในใจของทุกคนดำดิ่ง พอมองอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง
คนพื้นเมืองทั้งสี่นี้ โดยเฉพาะวานรกับเด็กอีกสองคน กลิ่นอายพลังเซียนบนตัวข้นหนาจนทำเอาคนเดือดดาล ราวกับโอสถล้ำค่าในร่างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น ก่อนหน้าพวกเขาหุนหันพลันแล่นเกินไป ความคิดทั้งหมดไปตกอยู่กับการไล่ตามตัวผลเซียน ไม่ได้คิดถึงด้านนี้เลย ทว่าตอนนี้พอมองแล้ว…
“สมควรตายจริงๆ”
“ถูกคนพื้นเมืองกินลงไปเสียแล้ว”
“ไม่…”
แต่ละคน ทั้งเดือดดาลและสิ้นหวังออกมาทันที รับไม่ได้กับผลลัพธ์นี้
เด็กชายเผ่าผู้วิเศษจู่ๆ ได้หัวเราะขึ้น เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ในร่างกายคนธรรมดาของพวกเขา ไม่สามารถละลายพลังโอสถของผลเซียนได้ พลังเซียนทั้งหมดสะสมอยู่ในร่างกาย ตอนนี้กายเนื้อของพวกเขา ก็เหมือนกับผลไม้เซียนนั่นล่ะ ขอแค่กินเนื้อของพวกเขา ดื่มเลือดของพวกเขา ก็เท่ากับได้กินผลเซียนนั่นเอง”
ตอนที่เขาพูด สายตาที่จ้องมองไปยังชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั้งสี่คน เต็มไปด้วยความร้อนแรงและละโมบ ยกลิ้นเลียริมฝีปาก ราวกับมองเห็นอาหารอันโอชะตรงหน้า
ประโยคนี้ ได้เตือนสติทุกคนขึ้นมาทันที
เพียงครู่เดียว สายตาของคนส่วนใหญ่ที่มองมาทางหมิงเยวี่ยทั้งสี่คน ไม่ได้เหมือนกับมองเห็นกลุ่มคนเป็นๆ แล้ว แต่เหมือนกับสัตว์ป่าที่กำลังจ้องมองเหยื่อที่ตกลงไปในกับดักอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราก็ไม่ต้องแย่งกันแล้ว” เยวี่ยกั๋วเซียงยิ้มเหี้ยมเกรียม เอ่ยต่อ “ก็เหมือนกับฆ่าหมู ทุกคนแบ่งเนื้อเป็นชั่งๆ ไป แบ่งง่ายดี หึหึ”
ส่วนเงาร่างนั้น กลับสง่าผ่าเผยขีดสุด ใช้แรงสะเทือนย้อนกลับดีดถอยหลัง ในมือปรากฏดาบยาวเล่มหนึ่งขึ้นฉับพลัน พลิกมือฟาดฟัน สกัดคมกระบี่ของเยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้า ร่างเงาตัดสลับกัน ท่าดาบได้เปลี่ยนอีกครั้ง แสงเลือดแตกซ่านกระเซ็น เยวี่ยกั๋วเซียงกรีดร้องขึ้น มือข้างที่กำกระบี่อยู่ถูกตัดขาดกระเด็นร่วงหล่นลงพื้น…
“ใครกัน?” เยวี่ยกั๋วชิงยังไม่ทันได้รู้สึกตัว
ส่วนเงาร่างนั้นกลับยังไม่หยุด รวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาด พลิกฝ่ามือฟันไปอีกดาบ แสงดาบราวกับผ้าแพรขาวผ่าตัดความว่างเปล่าพุ่งไปทางแม่เฒ่าไม้เท้าดำ
แม่เฒ่าไม่เท้าดำโบกไม้เท้าเพื่อสกัด ทว่าแสงดาบสายนั้น พริบตาแตกจากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก แยกออกเป็นลำดับ จนขณะที่กำลังจะถึงตัวนาง แสงดาบได้แตกกระจายทั่วฟ้าราวกับหิมะขนหงส์ก็มิปาน.…
“อ๊า…” นางกรีดร้อง พริบตาสองแขนกับอีกหนึ่งขาถูกตัดขาดสะบั้น
ตอนนี้เอง แสงกระบี่สีดำสายหนึ่งระเบิดขึ้นอย่างฉับพลัน พุ่งเข้ามาสกัดดาบ
ชิ้งๆๆๆ!
สะเก็ดไฟซ่านกระเซ็น สายตาของชายหนุ่มเคร่งขรึมชุดดำสะพายดาบเปล่งประกายราวดวงดารายามค่ำคืน มันคือความยินดีปรีดาที่ได้พบกับคู่มือที่คู่ควร
จากนั้นแสงดาบสว่างขึ้นอีกครั้ง ร่างเงานั้นไม่คิดจะพัวพันต่อ ถอยกลับอย่างรวดเร็ว แสงดาบเต็มท้องฟ้าฟาดฟันไปทางบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต
สีหน้าเดือดดาลหวาดกลัวของบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตถูกแสงดาบส่องจนชัดเจน เดิมที่เขาเกือบจะจับตัวหมิงเยวี่ยได้แล้ว ทว่าตอนนี้ ไม่กล้าที่จะปะทะกับคมดาบต่อหน้า จนต้องถอยฉากออกมา ถอยอีก ถอยออกมาอีก ถอยออกมาตลอด….
ยอดฝีมือหลายคน ในพริบตาเดียว กลับถูกทำให้ล่าถอยนับครั้งไม่ถ้วน
ใครกัน?
พลังถึงได้น่ากลัวเพียงนี้?
เมื่อทุกคนสงบร่างลงได้นิ่งแล้ว จึงจับจ้องมองไป
“ไก่ระกาฝูงหนึ่งรังแกเด็กน้อยสัตว์ตัวน้อยกับหญิงสาวที่ไม่เป็นวรยุทธ์เช่นนี้ เป็นวีรบุรุษได้อย่างไรกัน?” ท่ามกลางวงล้อม ชายผมสั้นชุดขาวถือดาบพาดขวางยืนอยู่หัวเราะเย็นชา
เขาราวกับเป็นเทพสวรรค์ลงมาจุติ เพียงไม่กี่กระบวนก็ทำลายสถานการณ์อันตรายลงไปทั้งหมด ช่วยเหลือชิงเฟิงหมิงเยวี่ยหยวนโห่วและหวางซืออวี่ทั้งสี่คนออกมาจากอันตราย ปกป้องพวกเขาให้มาอยู่ด้านหลัง
“คุณชาย”
“เจ้านาย!”
“พี่มู่!”
ชิงเฟิงหมิงเยวี่ย หยวนโห่วและหวางซืออวี่ แทบจะตะโกนออกมาด้วยความยินดีพร้อมกัน
หลี่มู่ขยิบตาประมาณว่า ‘วางใจได้’ ให้กับพวกเขา
“หลี่มู่!” เยวี่ยกั๋วเซียงหยิบแขนที่ขาด ต่อเข้าไปยังไหล่ของตนเอง สีหน้าเคร่งเครียดและอาฆาตพยาบาท
เขาจำได้ ว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ก็คือคู่แค้นที่เขาพยาบาทมากที่สุดหลี่มู่นั่นเอง
“หลี่มู่ วันนี้เหล่าวีรบุรุษมาพร้อมหน้ากัน เจ้ายังกล้ามาทำชั่วอีกหรือ?” บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตตะโกนขึ้น พร้อมกับถอยกลับในเวลาเดียวกัน ดึงระยะออกมาให้ปลอดภัยอย่างระมัดระวังตัว
จอมมารฟ้าปราณมารสีดำพันรัดทั่วร่าง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ทว่าน้ำเสียงกลับโหดเหี้ยมอย่างไร้ใดเทียม ร้องชิเอ่ยขึ้นด้วยไอสังหารคุกรุ่น “ที่แท้เจ้าก็คือหลี่มู่ ลงทุนลงแรงหาตั้งนานก็ไม่เจอ แต่กลับมาเจออย่างบังเอิญที่นี่!”
แม่เฒ่าไม้เท้าดำกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือด แขนขาทั้งสี่ถูกตัดไปสาม ชายหนุ่มเคร่งขรึมชุดดำสะพายดาบโยนยาลูกกลอนไปที่มุมปากนาง ดวงตากลับจับจ้องเขม็งไปที่หลี่มู่ ด้วยท่าทีกระเหี้ยนกระหือรืออยากเข้าไปทดสอบอย่างที่สุด
“เจ้าแกร่งมาก” ชายชุดดำสะพายดาบเอ่ยขึ้น
“เจ้าคืออันธพาลหัวขโมยนั่นหรือ?” พี่น้องสองสาวคนน้องดวงตาเปล่งประกาย เอ่ยต่อว่า “ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนรักความยุติธรรมด้วย? วีรบุรุษช่วยสาวงาม? นี่มันหมายความว่าอย่างไร? อย่าบอกนะว่าเจ้าไปชอบหญิงสาวคนอื่นได้รวดเร็วขนาดนี้ แล้วพี่สาวของข้าจะทำอย่างไร? เจ้ามาค้นเอาสมบัติไปจากตัวพี่สาวข้าตั้งมากมาย ไม่คิดจะรับผิดชอบเช่นนั้นหรือ?”
ปู้เฟยเหยียนรีบใช้ ‘คำสาปผนึกวาจา’ ทันที
“อู้อี้ อู้อี้อู้อี้…” น้องสาวตะโกน ใช้จมูกเปล่งเสียงออกมา ไม่รู้ว่าพูดอะไร
หลี่มู่ถึงกับพูดไม่ออก
แต่ว่า พี่น้องสองสาวคู่นี้ เมื่อครู่ไม่ได้เข้าร่วมการล้อมโจมตีชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั้งสี่คน ก็ยังถือว่ามีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง
“เหอะๆ ครั้งนี้ เจ้ากระโดดมาติดแหเสียแล้ว” เด็กชายเผ่าผู้วิเศษหัวเราะเย็นชา ขี่อยู่บนคอของสาวสวย ท่าทางประหลาดอย่างเห็นได้ชัด
“อวดดีนัก” เยวี่ยกั๋วเซียงต่อแขนที่ขาดเข้าไปใหม่ รองเอา ‘เกราะคลุมไฟเก้ามังกรเทพ’ ไว้กลางฝ่ามือ เอ่ยต่อว่า “วันนี้ ข้าจะให้เจ้าตายด้วยสมบัติเวท…”
เสียงยังไม่ทันขาด
ซูม!
สายฟ้าสายหนึ่ง ผ่าลงมาจากท้องฟ้าอย่างไม่มีสัญญาณเตือน แทงเข้าไปในแขนของเยวี่ยกั๋วเซียงตรงๆ ท่ามกลางเสียงร้อง ‘เกราะคลุมไฟเก้ามังกรเทพ’ ถูกร่างเงาในสายฟ้าแย่งชิงไป เวลาเดียวกัน ขณะที่ร่างเงาพุ่งตัดผ่าน ได้พลิกมือใช้พัดด้านหนึ่งสะบัดออกไป
วู้ม!
เปลวไฟห้าสีลูกหนึ่งตีม้วน พันล้อมเยวี่ยกั๋วเซียงเอาไว้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้กรีดร้อง ก็ราวกับกระดาษบางที่ถูกไฟเลียเผาไหม้อย่างไรอย่างนั้น ผู้บำเพ็ญขั้นสะพานเป็นตายที่พึ่งฟื้นฟูพลังมาคนหนึ่ง สลายกลายเป็นฝุ่นลอยไป!
ขั้นตอนทั้งหมด เพียงแค่พริบตาเหยี่ยวโฉบกระต่ายกระโดดหนี รวดเร็วอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่ความสนใจของคนทั้งหมดอยู่ที่ร่างของหลี่มู่ จนกระทั่งเยวี่ยกั๋วเซียงตายไปแล้ว เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหมดจึงได้รู้สึกตัวกัน
……………………………………….
[1] โคลนเหลืองตุงอยู่เป้ากางเกง ไม่ใช่ขี้ก็คือขี้นั่นแล คำพ้องเสียงของจีน หมายถึงถูกเข้าใจผิด แต่กลับอธิบายได้ยากลำบาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา