“ข้างหลังคือบ้านเกิดของข้า พวกเราไม่มีทางให้ถอยแล้ว สู้ รบ หลั่งเลือดเพื่อสวรรค์จนหยดสุดท้าย”
เสียงนี้ดังก้องอยู่บนถนนข้างหน้า
ทะเลทรายเวิ้งว้าง เม็ดทรายปลิวคว้าง บนเนินทรายสูง เทพร่างกายใหญ่โตสูงสามจั้งผู้หนึ่งถือธงศึกขาดวิ่นไม่ล้ม ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเนินทรายและขวางทางเอาไว้
แต่แท้จริง เทพองค์นี้ตายไปแล้ว
ตรงคิ้วของเขามีตะปูสีเงินดอกหนึ่งปักทะลุไปข้างหลัง สะเทือนจนวิญญาณต้นของเทพผู้นี้สลาย เพียงแต่พลังฝึกของเขาล้ำลึกมาก จิตมุ่งต่อสู้และความยึดมั่นในใจหลอมรวมไม่เลือนหาย ต่อให้ผ่านไปเป็นพันปีแล้วก็ยังลอยล่องอยู่รอบๆ เนินทราย
พวกหลี่มู่อยู่ใต้เนินทราย ผ่านไปไม่ได้
เพราะรอบๆ ร่างของเทพองค์นี้มีจิตสังหารที่ไร้รูปร่างไหลวนประหนึ่งเขตแดนสังหาร ต่อให้โยนหินก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งเข้าไปก็จะเกิดเป็นกระแสต้านวุ่นวาย กลายเป็นสถานที่อันตรายในชั่วพริบตา และจิตมุ่งต่อสู้กับความยึดมั่นของเทพผู้นี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง สามารถสะเทือนจนสามจิตเจ็ดวิญญาณของผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์แหลกสลายได้
ร่างของเขาเหมือนกำแพงขวางเส้นทางเอาไว้ องอาจกล้าหาญประดุจคนเฝ้าด่าน ทหารหมื่นนายมิอาจกล้ำกราย เหมือนว่าต่อให้เป็นเจ้าแห่งฟ้าดินก็อย่าคิดจะผ่านเขาไปได้
“รบ สู้รบ!”
“ปกป้องดินแดนบรรพชน ปกป้องดินแดนจะต้องเข้าสู้”
จิตใต้สำนึกยึดมั่นหลอมรวมเป็นเสียงคำรามโกรธแค้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาออกมา ข้ามผ่านวันเวลาไม่รู้นานเท่าใด ก็ยังคงดังก้องอยู่ในฟ้าดินไม่หายไป
สำหรับพวกหลี่มู่แล้ว สิ่งที่ยากเย็นที่สุดคือเทพองค์นี้ขวาง ‘เส้นทางเซียน’ อยู่
หลี่มู่สำรวจจนแน่ใจว่าเส้นทางเซียนอยู่ข้างหน้านี้แล้ว จะต้องผ่านเนินทรายผืนนี้ ผ่านข้างกายของเทพที่ตายไปแล้วองค์นี้ นอกจากนั้นแล้วไม่มีทางอื่น และไม่มีวิธีอื่นอีก
เห็นได้ชัดว่าเส้นทางเซียนที่เซียนผู้นั้นส่งออกมาเมื่อพันปีที่แล้วเกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง หรือไม่ตอนนั้นเขาก็ใช้พลังฝึกอันแข็งแกร่งเดินผ่านทะเลทรายผืนนี้ไปได้ ทว่าด้วยความสามารถของพวกหลี่มู่นั้นทำไม่ได้
ทำอย่างไรดี?
พวกหลี่มู่มองตากัน
ไม่นึกว่าเส้นทางเซียนเส้นนี้จะเป็นทางตันเมื่อเดินจนถึงสุดทางแล้ว
“ผู้แข็งแกร่งระดับอาวุโสของสำนักใหญ่อื่นๆ ก็มีแผนที่เช่นกัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องหาที่นี่เจอ ตอนนี้พวกเขาต้องเหยียบเส้นทางเซียนมาถึงโลกต้นผลทารกแล้วเป็นแน่” ชิงเฟิงนวดขมับ “โดยพื้นฐานพวกเราไร้ซึ่งทางถอยแล้ว”
ในใจของทุกคนหนักอึ้ง
ชิงเฟิงฉลาดแทบจะเทียบเคียงปีศาจ เรื่องราวต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็พิสูจน์การวิเคราะห์ของเขาแล้ว เขาพูดแบบนี้ต้องไม่ผิดแน่นอน
เส้นทางเซียนสายนี้เป็นเส้นทางเที่ยวเดียว หากหันหลังกลับตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับคนจากสำนักนอกพิภพ จะยิ่งอันตรายขึ้นไปอีก
สายตาของหลี่มู่มองไปยังวง ‘เป่าสีดีดร้อง’ ทั้งสี่
คนทั้งสี่พลันใจเต้นรัวดุจตีกลอง หวาดกลัวถึงที่สุด
พวกเขาสัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าชะตาชีวิตของพวกตนจะถูกนำมาใช้เป็นหน่วยกล้าตาย เอาไว้สำรวจเส้นทาง ฝืนผ่านทะเลทรายผืนนี้ไป
“นายท่าน พวกเรา…” ชายจมูกงุ้มเอ่ยปากพร้อมยิ้มขมขื่น คิดอยากจะขอร้องอะไร
แต่หลี่มู่ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ใจของทั้งสี่คนเย็นเยียบ
กลับเป็นตอนนี้เอง เห็นหลี่มู่พูดกับหวางซืออวี่ว่า “เสี่ยวอวี่ ข้าขอยืม ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ หน่อยสิ”
หวางซืออวี่ตะลึง ความคิดเพียงขยับ ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ ก็มาปรากฏบนร่างหลี่มู่ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีม่วงปกคลุมเขาไว้ทั้งตัว
ดวงตากลางหน้าผากหลี่มู่เปิดออก มองสำรวจภูมิประเทศ มองทะลุผ่านสนามพลังจิตสังหาร จากนั้นก็เดินไปยังเนินทรายทีละก้าวๆ
“น้องสาม…” กัวอวี่ชิงคิดจะห้าม แต่คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก ไม่ได้พูดออกมา “ระวังด้วย”
หลี่มู่พยักหน้าให้ เดินไปยังเนินทรายอย่างระมัดระวัง
สุดท้ายเขาก็ใจอ่อน ไม่ให้วง ‘เป่าสีดีดร้อง’ ทั้งสี่ไปเป็นหน่วยกล้าตาย
หนึ่งเพราะทรมานทั้งสี่คนนี้ ทรมานไปมาก็เกิดความเห็นใจเล็กน้อย เวลาใช้งานก็คล่องมือดี จำต้องเหลือเชื้อไฟไว้ให้สำนักกำเนิดฟ้าบ้าง สองเพราะหลี่มู่มองออกว่า ต่อให้เจ้าสี่คนนี้ไปเป็นหน่วยกล้าตายก็ไม่มีประโยชน์ หยั่งเชิงอะไรไม่ได้
เมื่อเข้าใกล้เนินทรายไปเรื่อยๆ หลี่มู่รู้สึกแค่ว่าจิตสังหารเหี้ยมโหดขุมหนึ่งหมายจะทะลวงผ่าน ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ เข้ามาฉีกทึ้งตน บนอาภรณ์สีม่วง อักขระเล็กละเอียดถี่ยิบเคลื่อนไหวต้านทานพลังภายนอกไว้
ครั้นมาถึงใต้เนินทราย หลี่มู่เปิดเนตรสวรรค์ถึงระดับสูงสุด พลังจิตวิญญาณขึ้นไปถึงขีดสุด จากนั้นประเมินรอบๆ มองหาช่องโหว่และจุดอ่อนที่น่าจะเป็นไปได้ของสนามพลังจิตสังหาร ค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัย
เขาเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าทีละก้าวๆ ราวกับแบกภูเขาเอาไว้
ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้วิชาลับส่งโครงสร้างของสนามพลังที่เนตรสวรรค์สำรวจได้ไปให้เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง ความชำนาญด้านค่ายกลและสนามพลังของชิงเฟิงในตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นศิษย์ที่เหนือกว่าครูแล้ว สามารถช่วยหลี่มู่ได้มากนัก
“ซ้ายสามก้าว ขวาหนึ่งก้าว หน้าหนึ่งก้าว ขวาอีกสองก้าว หน้าหนึ่งก้าว…ถอยหนึ่งก้าว…” เสียงของชิงเฟิงดังขึ้นข้างหูหลี่มู่ไม่หยุด
ในที่สุด หลังจากเสียเวลาไปหนึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็มาถึงเนินทราย มาถึงด้านซ้ายมือของเทพที่ดับสูญองค์นั้น
พอมองไปข้างหน้า เขาก็ต้องตื่นตะลึงกับสภาพข้างหลังเนินทราย
รถศึกทองสัมฤทธิ์ที่สนิมขึ้นเกรอะกรัง เรือบินเหล็กดำที่หักพัง และยังมีจานแสงอาทิตย์ขนาดหลายร้อยจั้ง อาวุธเทพที่ชำรุด ชุดเกราะเก่าแก่ที่แตกเป็นเสี่ยงร่วงอยู่ในทะเลทรายด้านหลังเนินทราย ร่างของนักรบที่สิ้นชีพแต่ละร่างถูกทรายกลบทับครึ่งหนึ่ง บางร่างไร้ซึ่งเลือดเนื้อกลายเป็นโครงกระดูกสีเหลืองทอง แผ่กระจายระลอกคลื่นเทพที่เป็นอมตะออกมา มีบางร่างที่ยังมีเลือดเนื้อสมบูรณ์ เพียงแต่วิญญาณต้นสลายไปแล้ว…
ที่นี่เป็นสนามรบของเทพมารที่น่ากลัวแห่งหนึ่ง
สามารถเดาได้เลาๆ ว่าที่นี่เป็นหน่วยรบกองหนึ่งของสวรรค์โบราณ ต่อกรกับศัตรูภายนอกเพื่อปกป้องดินแดนบรรพบุรุษ สู้ตายไม่ยอมถอย สุดท้ายแตกดับอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ทั้งหมด
เป็นไปได้ว่าในอดีตที่แห่งนี้ไม่ใช่ทะเลทราย แต่เป็นเมืองสำคัญของสวรรค์ยุคโบราณ ทว่าถูกพลังของเทพมารทำลายล้างท่ามกลางสงคราม เมืองที่เจริญรุ่งเรืองกลายเป็นที่รกร้าง ฝังกลบนักรบที่ตายไป
ตอนนี้ปัญหามาอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา