จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 452

สรุปบท บทที่ 452 กระอักเลือดกันแล้ว: จอมศาสตราพลิกดารา

สรุปตอน บทที่ 452 กระอักเลือดกันแล้ว – จากเรื่อง จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

ตอน บทที่ 452 กระอักเลือดกันแล้ว ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง จอมศาสตราพลิกดารา โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เหล่าศิษย์วังประสานฟ้าก็ขวัญหายเช่นกัน

พวกเขาล้วนเป็นถึงผู้ฝึกตนนอกพิภพที่ฐานะสูงส่ง เป็นหัวกะทิของสำนัก จึงมองจอมยุทธ์ทั้งหมดของโลกใบนี้ในท่าทีเหมือนมองมดปลวกด้อยค่า และคิดเองว่าตัวเองเป็นเทพเซียน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์จากสำนักเทพที่สูงส่งล้ำเลิศหรือองค์จักรพรรดิ ในสายตาของพวกเขาก็เป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลทรายเวิ้งว้าง ไม่แตกต่างอะไรกับเม็ดทรายอื่นๆ

แต่ว่าเพิ่งจะมาถึง ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ตายไปทีเดียวสี่คนแล้ว

นี่ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า ที่แท้บนโลกที่พวกเขาคิดว่ายังไม่พัฒนาใบนี้ยังมีคนหรือสิ่งที่สังหารพวกเขาได้

ที่นี่พวกเขาใช่ว่าจะไม่ตายและไร้เทียมทาน

“ผู้อาวุโสซุน ตอนนี้พวกเรา…” ใจของลูกศิษย์คนนี้รู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว

ระหว่างที่พูด ข้างหลังก็มีคลื่นพลังงานทะลักมาจากที่ไกล

เงาร่างสิบกว่าร่างตรงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่แบกดาบ ข้างกายมีจักรพรรดิฉินหมิง องครักษ์มารฟ้าหกคน และผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิฉินตะวันตกอีกสิบสี่คนตามมา

“เป็นคนของสำนักมารฟ้า” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งกล่าว

ภายในเขตดาราเทพวีรชน วังประสานฟ้าและสำนักมารฟ้าสองขั้วอำนาจนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายตึงเครียดนัก เพื่อช่วงชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่ง ทั้งสองปะทุสงครามกันหลายครั้ง ลับหลังยังใช้ลูกไม้เล่ห์กลมากมาย นับว่าเป็นขั้วอำนาจปฏิปักษ์กัน เพียงแต่หนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ สำนักมารฟ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ

ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าเกิดความคิดในใจ จึงหัวเราะเสียงเย็น สั่งให้ลูกศิษย์ถอยไปข้างๆ เล็กน้อย ให้คนของสำนักมารฟ้าผ่านไปก่อน

“เหอะๆ กลัวแล้ว? รู้จักถอยก็ดี”

‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคง ชายวัยกลางคนจากสำนักมารฟ้าที่แบกดาบยาวเห็นภาพนี้แล้วก็หัวเราะเยาะเย้ย หาท่านเซียนสำคัญกว่า ไม่จำเป็นต้องโรมรันฆ่าฟันกับคนวังประสานฟ้าพวกนี้ จึงนำทุกคนเข้าไปในเขตทะเลทรายทันที

อั้ก อั้ก อั้ก!

สนามพลังจิตต่อสู้ถาโถม จิตสังหารไหลวน กระแสอากาศลวดลายเต๋าบดขยี้เข้ามา

เนื่องจากไม่ทันระวังตัว ท่ามกลางเสียงร้องน่าเวทนา ยอดฝีมือของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตกหกคนถูกขยี้กลายเป็นหมอกเลือดในชั่วพริบตา องครักษ์มารฟ้าสองคนสลายกลายเป็นผง จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวบดขยี้มายังเหล่าคนสำนักมารฟ้าทั้งหลายราวกับโม่หินและล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง

“สมควรตาย…เปิด!” ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงชักดาบยาวข้างหลังมา ดาบหนึ่งฟันออกไป พลังฝึกขั้นนักรบระเบิดปะทุ ดาบมารก่อเกิดภาพมายา แหวกสนามพลังจิตสังหารรอบๆ จนเป็นทางแยกสายหนึ่งในชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วจึงถอนตัวหนีออกมา

แต่ก็หนีออกมาได้แค่ตัวเขากับจักรพรรดิฉินหมิง คนอื่นทั้งหมดถูกสังหารในนั้นไม่เหลือซาก

“ซุนจี้ เจ้ากล้าเล่นเล่ห์กับข้า?”

‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงถือดาบยาวชี้ไปยังผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้า ไฟโทสะลุกโหม

……

ในทะเลทรายสนามรบเก่ามีอันตรายแฝงอยู่รอบด้าน

ต้องขอบคุณเนตรสวรรค์ร่วมกับความเข้าใจในด้านค่ายกลของชิงเฟิง ถึงได้เดินผ่านความยากลำบากเบื้องหน้ามาได้ นักรบที่ตายไปแล้วพวกนั้น จานแสงอาทิตย์ที่แตกหัก รอบๆ เรือรบและรถศึก ต่างมีจิตมุ่งต่อสู้ยุคบรรพกาลแฝงอยู่ไม่เคยจางหายไป

สำหรับพวกหลี่มู่แล้วทุกที่เป็นเหมือนกับดัก เพียงไม่ระวังก็จะนำมาซึ่งภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต

ทะเลทรายแห่งนี้กว้างไกลถึงหลายพันลี้

หวางซืออวี่ที่ไม่มีวรยุทธ์ พละกำลังอ่อนแอที่สุด หากไม่มี ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ เกรงว่าคงถูกจิตมุ่งต่อสู้รอบด้านสะเทือนจนสามจิตเจ็ดวิญญาณสลายไปนานแล้ว แต่ถึงจะมีอาภรณ์เซียนอยู่ สำหรับหวางซืออวี่ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็เป็นความทรมานอันน่าหวาดหวั่นราวกับทัณฑ์ทารุณ

ภายหลังหลี่มู่แบกหวางซืออวี่ไว้บนหลัง เธอถึงจะนับว่าสบายขึ้นเล็กน้อย

ใช้เวลาถึงสองชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านทะเลทรายที่เป็นสนามรบของเทพมารผืนนี้มาได้

ปลายสุดทะเลทรายเป็นพื้นที่ราบเรียบ

หลี่มู่หยุดฝีเท้า มอบป้ายหยกเส้นทางเซียนให้ชิงเฟิงพร้อมบอก “พวกเจ้าเดินต่อไปข้างหน้า ข้าจะอยู่ที่นี่ทำอะไรสักหน่อย จะต้องพยายามถ่วงเวลาคนสำนักนอกพิภพพวกนี้ มิฉะนั้นพวกเราจะมีอันตราย”

เขาหมุนตัวกลับไปในทะเลทรายสนามรบเก่าของเทพมาร

เส้นทางปลอดภัยตอนขามา หลี่มู่จำได้ขึ้นใจ เมื่อไม่ต้องปกป้องคนอื่น ยามอยู่ในสนามรบเก่าแห่งนี้เขาแคล่วคล่องเป็นอย่างยิ่ง

หลี่มู่วางค่ายกลเล็กชั้นยอดบางส่วนไปตามจุดที่ดูเหมือนจะปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง หลักๆ คือเพื่อรบกวนการได้ยิน วิชาที่เหมือนการพรางตา ทำให้สนามรบเทพมารที่ซับซ้อนอยู่แล้วยิ่งเต็มไปด้วยกับดักมากมาย

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดคนของสำนักมารฟ้าและวังประสานฟ้าก็เหยียบบนเนินทรายเทพลูกแรกได้

อย่างไรเสียก็เป็นผู้ฝึกตนนอกพิภพ สนามพลังจิตสังหารบนเนินทรายนี้ไม่อาจขวางพวกเขาไปได้ตลอด

“สู้ ข้างหลังคือบ้านเกิดของข้า ไม่มีทางให้ถอยแล้ว สู้ตายจนหยดเลือดสุดท้าย”

เทพโบราณร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงธงศึกคนนั้น ความยึดมั่นยังคงวนเวียนอยู่ในฟ้าดิน เสียงของเขาชัดเจน ธงศึกที่ขาดวิ่นโบกสะบัดกลางสายลม

พอจะวิเคราะห์ได้เลาๆ ว่าบนธงศึกขาดวิ่นมีรูปมังกรขดอยู่ ซ้ำแผ่กระจายกลิ่นอายฮึกเหิมห้าวหาญของกองทัพ ไหลวนด้วยพลังจิตวิญญาณมหาศาลชนิดหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนในเสี้ยวขณะต่อไป ขอแค่วิญญาณเทพโบราณสูงใหญ่ที่ดับสูญผู้นี้ถอนธงศึกซึ่งปักอยู่บนพื้นขึ้นมาและลั่นกลองรบ ก็จะมีกองทัพนับหมื่นพันทะยานเข้ามา…

“นี่มัน…”

“สนามรบเก่า!”

สนามรบเก่าของเทพมารข้างหลังเนินทรายทำเอาผู้แข็งแกร่งจากสองสำนักใหญ่ตื่นตกใจ

ตอนนี้เอง ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งมองตะปูสีเงินดอกที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเทพดับสูญผู้นั้น รู้สึกว่าคุ้นตา ในใจเกิดความละโมบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ตะปูดอกนี้จะต้องเป็นยอดอาวุธสังหารแน่ แม้แต่เทพโบราณองค์นี้ยังสะเทือนจนตาย หากได้ตะปูดอกนี้มาครองแล้วละก็…

ขณะคิดในใจ ทั้งตัวเขาดุจวิญญาณลอยหาย เดินไปยังวิญญาณเทพโบราณอย่างไม่รู้ตัว

“เฉินเฟิง เจ้าทำอะไร? กลับมา…” ครั้นซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าสัมผัสได้ก็โมโหโกรธา อ้าปากตวาด

ทว่าในตอนนี้ เรื่องน่ากลัวบังเกิดขึ้นแล้ว

ลมปีศาจกลุ่มหนึ่งพัดมา ลูกศิษย์ที่ชื่อเฉินเฟิงคนนี้เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างสลายกลายเป็นเถ้า ผิวแห้งแตกเป็นแผลเลือดไหลมากมาย เสมือนท้องน้ำที่แห้งผากหลังโดนอาทิตย์แผดเผา แต่เขาไม่รู้สึกตัว ใบหน้ากลับอมยิ้ม เหมือนเห็นของที่งดงามที่สุดในโลก ยังคงเดินไปยังศพของเทพโบราณ เดินไปไม่กี่ก้าวเลือดและไขกระดูกก็ไหลออกมาจากปากแผลที่แตกระแหง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแสงรุ้งไหลเข้าไปในตะปูสีเงินตรงหว่างคิ้วของเทพโบราณ…

ร่างของเฉินเฟิงพังทลายลงมาดุจรูปสลักทราย กลายเป็นเม็ดทรายจมไปในผืนทะเลทราย

ผู้แข็งแกร่งจากสองสำนักเห็นฉากนี้แล้ว แผ่นหลังก็ผุดเหงื่อเย็นชื้น

“เขา เขายังมีชีวิตอยู่ หน้าของเขาขยับอยู่…” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าอีกคนหนึ่งพลันกรีดร้องขึ้นมาปานผีเข้า แววตาจับจ้องใบหน้าของเทพโบราณ เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าเห็น เมื่อครู่เขายิ้ม สีหน้าเขาเปลี่ยนไป”

ลมพัดเข้ามา ทุกคนต่างตื่นตัว

นี่มันจะแปลกนอกรีตนอกรอยเกินไปแล้ว

“พูดจาเหลวไหลอะไร?” ซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าตวาดเสียงเข้ม “หุบปาก”

ตอนนี้ บนเส้นทางมีเงาคนไหววูบไหวอีกแล้ว

มีคนหลายกลุ่มทะยานมุ่งหน้ามายังเนินทราย

มีขั้วอำนาจสำนักนอกพิภพมาถึงอีกแล้ว

และยามนี้ จักรพรรดิฉินหมิงกับ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงทะยานไปอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดอะไร ออกมาได้หลายพันลี้ก็เข้ามาในสนามรบเก่าของเทพมารข้างเนินทราย

ทันใดนั้น….

เปรี้ยง โครม!

ทั้งสนามรบเก่าของเทพมารเริ่มพังทลายคล้ายโดมิโน จิตสังหารมุ่งต่อสู้และกระแสความปั่นป่วนทุกหนแห่ง รวมถึงพลังรุนแรงในอาวุธสงครามถูกเหนี่ยวนำออกมาหมด ทุกสิ่งในอาณาบริเวณหลายร้อยลี้ระเบิดปานกระทะน้ำมันร้อนจัด เดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา

“ฆ่า สู้ตัวตายไม่ถอย”

“รักษาดินแดนบรรพชนเอาไว้ ตายตกไปพร้อมกัน”

“สู้ สู้ สู้ สู้จนถึงคราวสุดท้าย”

“ปกป้องคนรุ่นหลังของเรา”

“ฆ่า”

เสียงโบราณต่างๆ นานาเหมือนข้ามผ่านห้วงเวลายาวนานมา ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายผืนนี้ จิตยึดมั่นของนักรบที่ตายไปแล้วถูกเหนี่ยวนำก่อนระเบิดปะทุ ประดุจกองทัพมหาศาลกำลังโรมรันฆ่าฟัน จิตสังหารน่าสะพรึงแปรเปลี่ยนเป็นแท่นโม่หินขนาดยักษ์ จะบดขยี้สรรพสิ่งในทะเลทรายแห่งนี้ให้แหลกละเอียดสิ้น

ผู้คนจากฝั่งต่างๆ ที่แต่เดิมบุกไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น เวลานี้ต้องเผชิญกับเคราะห์มหันตภัย

“เจ้าโง่” ปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งตวาดลั่น ก่นด่าซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้า

……

ห่างออกไปหลายร้อยลี้

หลี่มู่สัมผัสได้ หันกลับไปมองทางทะเลทราย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มบางๆ

“คราวนี้ ผู้ฝึกตนนอกพิภพพวกนี้คงกระอักเลือดกันแล้ว”

หลี่มู่เอ่ย

หลี่มู่ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับคนพวกนี้แม้แต่น้อย ลำพังแค่สิ่งที่พวกเยวี่ยกั๋วเซียงทำเอาไว้บนแผ่นดินใหญ่ก็เหมือนกับคนฆ่าสัตว์ ไม่มองคนบนโลกใบนี้เป็นมนุษย์ แต่มองเป็นสัตว์ เป็นอาหาร ฆ่าแกงได้ตามใจ พวกนี้ไม่ใช่คนดีอะไรทั้งนั้น หลี่มู่วางแผนจัดการพวกเขาแล้วไม่มีความกดดันในใจแม้แต่น้อย

“พวกเรารีบออกเดินทาง จิตสังหารที่สนามรบเก่าสกัดพวกเขาเอาไว้ไม่ได้นานนัก” หลี่มู่พูดขึ้น

เขาไม่ประมาทคู่ต่อสู้

นอกพิภพจะต้องมีผู้สูงส่ง มีปรมาจารย์ค่ายกลแน่นอน การฝ่าทะลวงค่ายกลออกมาเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว

เดินหน้าต่อไป

ตลอดทางมามีอุปสรรคกีดขวางมากมาย มีทั้งหนองน้ำลวงจิต ขุนเขาหน้าผาสูงชัน หุบเหวไอพิษ มีเส้นทางที่ประหนึ่งเขาวงกต ทั้งยังมีเทพโบราณที่ดับสูญเฝ้ารักษาอยู่รอบบริเวณร้อยลี้…

ประมาณครึ่งวันต่อมา พวกหลี่มู่ก็มาถึงดินแดนภูเขาสวยสายน้ำงดงามแห่งหนึ่ง

ภูเขาเขียวขจีที่เหมือนนิ้วมือทั้งห้ากางออกปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกหลี่มู่

เขาเขียวน้ำใส เสียงน้ำตกกระหึ่มก้อง

“ถึงแล้ว” หลี่มู่อึ้งตะลึง

ที่นี่เรียกว่าเขาห้าองคุลี เป็นสถานที่ปลายทางบนแผนที่เส้นทางเซียน

เซียนท่านนั้นอยู่ในเขาห้าองคุลีแห่งนี้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา