จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 453

สรุปบท บทที่ 453 กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสง: จอมศาสตราพลิกดารา

อ่านสรุป บทที่ 453 กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสง จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet

บทที่ บทที่ 453 กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสง คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เขาเซียนที่เห็นตรงหน้าเป็นผืนเขียวขจี อุดมสมบูรณ์ หญ้าเซียนขึ้นเป็นพุ่ม ละอองน้ำแผ่กระจาย มองไกลออกไปจะเห็นน้ำตกเป็นสายๆ ราวกับเข็มขัดหยกประดับอยู่ระหว่างภูเขา ทำเอาพวกหลี่มู่ที่เพิ่งจะออกมาจากพื้นที่อันตรายสุดขั้วที่เต็มไปด้วยอุปสรรครู้สึกว่าจิตวิญญาณสะท้านทันที ครั้นสูดอากาศสดใหม่ที่โถมเข้ามาเข้าไป ความเหนื่อยล้าทั่วร่างก็เสมือนถูกกวาดทิ้งไปจนหมด

“ไปเถอะ”

หลี่มู่นำหน้า กัวอวี่ชิงอยู่ด้านหลัง กลุ่มเป่าสีดีดร้องสี่คนแบ่งกลุ่มซ้ายขวาปิดหัวท้ายสองด้าน ปกป้องหมิงเยวี่ย ชิงเฟิง และหวางซืออวี่ไว้ คนทั้งขบวนเดินตรงไปยังเขาห้าองคุลีอย่างรวดเร็ว

ทุกคนล้วนตื่นเต้นกันเล็กน้อย

ใจของหลี่มู่และกัวอวี่ชิงกลับสงบนิ่งอย่างประหลาด

เพราะรู้สึกว่ายิ่งใกล้เป้าหมายก็ยิ่งยากลำบาก หัวเลี้ยวหัวต่อท้ายสุดมักจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หากไม่ระวังเมื่อใด ก็เท่ากับสร้างเขาทั้งลูกแต่ขาดดินเข่งสุดท้ายไป สิ่งที่เดิมพันมาก่อนหน้านี้จะไร้ค่าทั้งหมด

ยังดีที่หลังจากเข้าสู่เขาห้าองคุลี ก็ไม่ได้พบอันตรายใดๆ

ดินแดนผืนนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง เขาเขียวน้ำมรกต ลมพัดเอื่อย ทำให้รู้สึกสบายอย่างที่สุด กระทั่งเงาของสัตว์ป่าก็ยังไม่มี ไม่มีค่ายกลหรือจิตสังหารใดๆ ประหนึ่งแดนสุขาวดีอย่างไรอย่างนั้น

ยอดเขาเดี่ยวทั้งห้าของเขาห้าองคุลีดุจเสายักษ์ค้ำยันสวรรค์ สูงเสียดขึ้นไปบนฟ้า และยอดเขาเดี่ยวแต่ละลูกยังแบ่งออกเป็นสามข้อ กลมมนแยกเป็นอิสระ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนฝ่ามือของมนุษย์ แยกกันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก พื้นที่ตรงตีนเขาเป็นหุบเขากว้างใหญ่พื้นเรียบ คล้ายกลางฝ่ามือมนุษย์

“ดูจากที่แผนที่เส้นทางเซียนชี้นำ เซียนท่านนั้นอยู่ใต้ยอดเขาตรงกลาง ถูกจองจำไว้ในหุบเขานั้น” หลี่มู่ชี้ไปยังยอดเขาไกลๆ ที่สูงตระหง่านที่สุดและอยู่ตรงกลางสุด

จากโครงสร้างของเขาห้าองคุลี ยอดเขาลูกนี้ดูเหมือนนิ้วกลางของมนุษย์

ในใจทุกคนตื่นเต้นและกระวนกระวายเล็กน้อย

เวลาพันปีผ่านไปแล้ว เซียนคนนั้นจะยังอยู่หรือไม่?

หากยังมีชีวิตอยู่ จะคุยด้วยง่ายไหม?

หรือหากตายไปแล้ว สิ่งที่เหลือถ่ายทอดเอาไว้จะสามารถคุ้มครองทุกคนได้หรือไม่?

หลี่มู่ไม่พูดจา นำทุกคนเดินเข้าไป

ครึ่งชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา ทุกคนมาถึงใต้ยอดเขานิ้วกลาง

“นั่นคือ…” พวกหลี่มู่หยุดฝีเท้าด้วยความประหลาดใจ

สิ่งที่เห็นคือแปลงผักฝีมือมนุษย์ขุด พื้นที่ราวสามสี่ไร่ เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมาก ปลูกผักสดที่แตกต่างกันเอาไว้ เนื่องจากดินแดนผืนนี้อัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ จึงเติบโตงอกงามอย่างดี เขียวชอุ่ม ออกผลมากมาย

กลางพื้นที่แปลงผักมีคูก่อจากก้อนอิฐหินเขียว ยาวตรงไปยังสระน้ำซึ่งห่างออกไปกว่าสามสี่สิบจั้ง ด้านข้างสระน้ำมีลานบ้านรั้วต้นไผ่ ในลานบ้านมีกระท่อมหญ้าคาสามหลัง โต๊ะหินหนึ่งตัว เก้าอี้หินสองตัว และแปลงดอกไม้เล็กๆ อีกหนึ่ง

ใครก็คิดไม่ถึงว่าใต้ยอดเขานิ้วกลางจะเป็นทิวทัศน์เช่นนี้

ที่พำนักของเซียนไม่ใช่ว่าควรเป็นวังงดงามหรูหราหรอกหรือ?

หรือไม่ก็เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำให้คนต้องเงยหน้ามอง ถ้ำพำนักเทพ หรือไม่ก็มีค่ายกลที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ และควรมีไอเซียนอยู่เต็มเปี่ยม ใครจะรู้ ไม่นึกเลยว่าจะเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิตแบบบ้านหลังเล็กของชาวนาเช่นนี้ ความเพลิดเพลินของชาวนาที่มีความสุขกับการทำไร่ทำสวนโชยเข้ามา

“นี่คือที่พำนักของเซียนคนนั้นหรือ?” หมิงเยวี่ยลูบศีรษะอย่างงงๆ

ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการไว้เลย

สายตาของหลี่มู่ กัวอวี่ชิง และชิงเฟิงกลับตกอยู่ที่กระท่อมหญ้าคาสามหลังนั้น ประตูกระท่อมปิดสนิททั้งหมด ไม่รู้ว่าด้านในมีคนหรือไม่ หากมีเซียนอยู่จริงๆ ก็น่าจะอยู่ด้านในกระท่อมนี้

“ทุกคนระวังตัวด้วย”

หลี่มู่กำชับประโยคหนึ่ง ก่อนเดินนำตรงเข้าไปในลานบ้านรั้วไม้ไผ่

เพียงไม่นาน ทุกคนก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ประตูลานบ้านแล้ว

“ขอประทานโทษ มีใครอยู่ไหม?” เด็กสาวหน้ามึนหมิงเยวี่ยเปิดประตูไม้ไผ่เดินเข้าไป กะพริบตาปริบๆ ราวกับอีเห็นที่เข้ามาขโมยไก่

ไม่มีใครตอบกลับ

บนโต๊ะหินในลานบ้ามีเศษดินอยู่ชั้นหนึ่ง มุมชายคากระท่อมมีฝุ่นที่ดูคล้ายหยากไย่ ด้านในแปลงดอกไม้มีพืชพรรณประหลาด แต่ก็ยังงอกงามดียิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จัดการอะไรกับมัน ดูระเกะระกะอยู่บ้าง อยู่ในลักษณะแย่งกันเติบโต

“ดูท่า เหมือนที่นี่จะไม่มีคนอาศัยอยู่นานมากแล้ว” หยวนโห่วเอ่ยปาก

ทั่วทั้งลานบ้าน รวมไปถึงกระท่อมสามหลัง ถึงแม้จะเปิดประตูเข้าไปดูไม่ได้ ทว่าสิ่งที่ยืนยันแน่นอนได้ก็คือด้านในไม่มีคลื่นพลังใดๆ ส่งออกมาเลย

หรือว่าเซียนจะตายไปแล้ว?

ถึงอย่างไรก็ผ่านมาแล้วพันปี ตอนนั้นเซียนกับเทพมารทำศึกใหญ่ เป็นไปได้สูงว่าอาจบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงไม่สามารถออกไปจากเขตสุสานเทพ ส่งออกไปได้เพียงเสียงเท่านั้น เขาอาจจะเจ็บหนักจนรักษาไม่ได้แล้ว?

นี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับพวกของหลี่มู่แล้ว ถ้าหากเซียนผู้นี้ตายไปเหลือไว้เพียงสิ่งสืบทอดก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี เพราะต่อให้ได้รับสิ่งสืบทอดจากเซียนมา รอจนพวกสำนักใหญ่นอกพิภพไล่ตามมาถึง สิ่งสืบทอดก็จะถูกแย่งชิงไป และทำให้พวกเขาตายเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ

พวกเขาทำได้เพียงเดิมพันว่าท่านเซียนยังมีชีวิตอยู่ สามารถปกป้องพวกเขาได้

เมื่อทุกคนได้ฟัง ใจหนาววาบทันที

“พวกเจ้า..เหอะๆ…ผิดหวัง…ใช่หรือไม่?” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงหัวเราะเย้ยตัวเอง เมื่อหลี่มู่ประคองมานั่งลงที่เก้าอี้หินกลางลานบ้านก็หายใจหอบอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ท่านปู่ตายไปวิญญาณก็ไม่ดับสูญหรอก” หมิงเยวี่ยกระโดดออกมาปลอบโยน

จักรพรรดิเซียนหมิงกวง “…”

พวกของหลี่มู่ “…”

ตอนนี้หมิงเยวี่ยถึงรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

พูดประโยคนี้จบ นางพลันรู้สึกว่าที่ตัวเองพูดไปไม่น่าถูก ภายใต้สายตากล่าวโทษของทุกคน นางรีบร้อนเสริมว่า “ไม่ใช่ๆๆ ข้าเป็นคนพูดไม่เป็น ไม่ได้กำลังแช่งท่านนะ ท่านปู่ ท่านฟังข้าพูดก่อน ถึงแม้ท่านใกล้ตายแล้ว แต่ท่านปราบมารร้าย เสียสสะตนเองเพื่อมนุษย์ จะมีชีวิตอยู่ในใจพวกเราตลอดไป…อู้ๆ…”

หลี่มู่อุดปากเจ้าเด็กน้อยคนนี้ทันที

แม่คุณทูนหัวเจ้าอย่าพูดเลยจะดีกว่า

จักรพรรดิเซียนหมิงกวงหัวเราะอย่างโอนอ่อน เอ่ยขึ้นว่า “ลิงน้อยอย่างเจ้า…มี ‘กายเต๋าเพาะปีศาจ’ แต่กำเนิดที่ไม่ค่อยพบเห็น จะเลอะๆ เลือนๆ ก็เป็นเรื่องปกติ ข้าไม่ถือสาเจ้าหรอก…เวลาของข้าเหลือไม่มากแล้ว ในที่สุดพวกเจ้าก็มา เมื่อถ่ายถอดวิชาเซียนให้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีก สายวิชาจรัสแสงจะมาสิ้นสุดในมือข้าไม่ได้…”

พูดถึงจุดนี้ เขาเหลือบมองหมิงเยวี่ยที่กำลังทำหน้าขอโทษขอโพย และเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบว่า “น่าเสียดาย ลิงน้อยอย่างเจ้า กายเต๋าเพาะปีศาจ ร่างกายที่หายาก จะต้องถูกสำนักเซียนต่างๆ ในดาราสมุทรไล่ตามเป็นพรวนแน่นอน ไม่เหมาะกับระบบสืบทอดของข้า…”

หมิงเยวี่ยผิดหวังหนักทันใด “ท่านปู่ ท่านลองดูหน่อยสิ ถ้าข้าเหมาะสมล่ะ?”

พวกของหลี่มู่ล้วนหัวเราะขึ้นมา

ทว่าจักรพรรดิเซียนหมิงกวงคนนี้ก็ร้ายกาจจริงๆ ถึงแม้อ่อนแอจนถึงขีดสุดแล้ว สู้ไม่ได้กระทั่งคนธรรมดา แต่สายตายังคงยอดเยี่ยม มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าหมิงเยวี่ยมีกายที่พิเศษ ตอนนั้นจั่วลู่อี้ก็พูดเช่นนี้ กายเนื้อของหมิงเยวี่ยมีวิญญาณปีศาจสิงสู่ ต่อมาถึงหล่อหลอมวิญญาณปีศาจนั้น พลังเพิ่มขึ้นมหาศาล และฝึกภาพอัศจรรย์ ‘บัวขาวฟ้าคราม’ ได้สำเร็จ…ที่แท้ตัวหมิงเยวี่ยที่มึนงงเลอะเลือน สาเหตุมาจากร่างกายนี่เอง

“รอจนภายภาคหน้าเจ้าได้พบวิชาที่เหมาะสมกับตัวเจ้าจริงๆ ก็จะเข้าใจเอง เมื่อเจ้าฝึกฝนวิชาที่ถูกต้องจะยิ่งได้เปิดหูเปิดตา เปิดโลกแห่งความรู้สติปัญญา และจะฉลาดหลักแหลมขึ้นเอง…”

จักรพรรดิเซียนหมิงกวงพูดยิ้มๆ

หมิงเยวี่ยถามขึ้นอย่างอาจหาญ “เช่นนั้นท่านปู่ ในหมู่พวกเรานี้มีใครที่เหมาะสมกับการสืบทอดของท่านบ้าง?”

สายตาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงกวาดมองทุกคน ท้ายสุดถึงมาหยุดอยู่ที่ตัวหวางซืออวี่ ดวงตาขุ่นมัวพลันเปล่งประกายแวบหนึ่ง ความยินดีมาก่อน จากนั้นเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง ก่อนจะลิงโลดยินดีในที่สุด

“ฮ่าๆ…แค่กๆ…ดี นี่มันดีจริงๆ ไม่คิดเลยว่าช่วงสุดท้ายในชีวิตข้าจะได้พบกับ ‘กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสง’ ในตำนาน แค่กๆ” เขามองหวางซืออวี่ด้วยสีหน้าที่ยากจะสะกดความตื่นเต้นไว้ได้ “เด็กน้อย เจ้ารับสืบทอดวิชาจากอาจารย์คนใดมาหรือไม่? ยินดีที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ข้าไหม?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา