ไม่นานนัก จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็เลือกสมบัติล้ำค่าได้สามสิบหกชนิด เป็นยารักษาเสียส่วนมาก ถึงแม้จะไม่อาจเทียบได้กับโอสถไร้เทียมทานที่เขาเอ่ยถึง แต่ก็มีสรรพคุณปรับเสริมรากฐานในระดับหนึ่ง นับว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน
เขากินยาพวกนี้ลงไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ปรับลมหายใจ ฟื้นฟูพลังฝึกต่อ
อักขระเต๋าอันน่าหวาดกลัววนล้อมแน่นขนัดอยู่รอบกายจักรพรรดิเซียนหมิงกวง น่าครั่นคร้ามกว่าตอนที่ดื่มเลือดหมิงเยวี่ยแล้วปรับลมหายใจครั้งแรกมาก ทุกอักขระละเอียดยิบประหนึ่งแฝงด้วยไฟอัสนีของจิตสูงสุดแห่งมรรคา เดี๋ยวเก็บซ่อนเดี๋ยวปลดปล่อย เดี๋ยวหดเดี๋ยวขยาย หล่อหลอมร่างกายของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงไม่หยุด
พลังฟ้าดินรอบเขาห้าองคุลีบิดม้วนตีเกลียวออกมาเหมือนคลื่นวนยักษ์กลางทะเล โดยมีจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะผสานเข้าไปในกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ปรับเสริมรากฐานพลังของเขาควบคู่ไปกับสรรพคุณจากเม็ดยา
‘พลังเซียน’ เป็นกลุ่มเป็นสายทะลักออกมาจากในร่างของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
ที่เรียกว่าพลังเซียน อันที่จริงแล้วหลักๆ เป็นเพราะไม่ว่าจะพวกหลี่มู่หรือผู้ฝึกตนนอกพิภพ ก็ล้วนไม่เคยเห็นพลังชนิดนี้มาก่อน
นั่นเป็นพลังระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ละม้ายผ้าโปร่งบางและก็คล้ายกลุ่มควัน เป็นเพียงแค่เส้นสาย ประหนึ่งล่องลอยไม่แน่นอน เหมือนแค่สายลมพัดก็จะปลิวกระจาย แต่กลับทำให้คนทั้งหมดที่นั่นรู้สึกตื่นตระหนกยำเกรง ราวกับว่าเพียงถูกเศษเสี้ยวพลังนั้นพัดผ่านก็จะจมมิดไปตลอดกาล
พลังฟ้าดินเสมือนลมพายุ เริ่มหมุนวนโดยมีจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเป็นศูนย์กลาง
คนทั้งหลายยากจะทานทนต่ออานุภาพกดดันนี้ได้ ต่างถอยหลังไปสองลี้
ใบหน้าของทุกคนฉายแววตกตะลึง
พวกเขาตื่นตะลึงกับความแข็งแกร่งของพลังจักรพรรดิเซียนหมิงกวง นี่เป็นตัวตนอีกระดับหนึ่งโดยสิ้นเชิง อยู่เหนือกว่าระบบวิถียุทธ์ของทั้งเขตดาราเทพวีรชนไปอีก
เวลาผ่านไป
การปรับลมหายใจของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงหยุดลง
ยามนี้ สายตาของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงมองกลับมายังพวกหลี่มู่ นัยย์ตาฉายความเคียดแค้น เขาพลิกมือชักดาบยาวข้างหลังออกมา และเดินไปทางพวกหลี่มู่ทีละก้าว
คลื่นพลังฝึกขั้นนักรบ ต่อให้ถูกแรงกดดันไร้รูปร่างในเขาห้าองคุลีควบคุมเอาไว้ก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
จิตสังหารอันน่าหวาดหวั่นประดุจอาวุธแหลมคมชี้มาที่หลี่มู่
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวางซืออวี่มองไป “คิดจะฆ่าสหายของข้าอย่างนั้นรึ? ทางที่ดีคิดให้รอบคอบก่อนจะดีกว่า พวกเจ้าสำนักมารฟ้าจะต้านทานการโจมตีจากโทสะของอาจารย์ข้าได้หรือไม่”
จ่างซุนฉางคงชะงักไปเล็กน้อย ค่อนข้างลังเล
ก่อนหน้านี้ จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็แนะนำแล้วว่าหวางซืออวี่คือผู้สืบทอดมรดกวิชาของเขา น้ำหนักของเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว ต่อให้แข็งแกร่งเช่นเขาก็จำต้องให้ความสำคัญ
“ฮ่าๆ ท่านเซียนเข้าใจผิดแล้ว สหายของท่านอายุน้อยมีความสามารถโดดเด่น ด้านค่ายกลก็ไม่เป็นรองใคร สร้างอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเราก่อนหน้านี้ ข้าก็แค่อยากสนิทสนมอีกนิดหนึ่งเท่านั้น” จ่างซุนฉางคงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะเก็บดาบยาวกลับไป
หวางซืออวี่ไม่พูดอะไร
เมื่อครู่นับว่าเธอยืมชื่อจักรพรรดิเซียนหมิงกวงมาแอบอ้างบารมีแล้ว
จ่างซุนฉางคงชี้คนวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตลายเทาเที่ยสามสี่คนในกลุ่มคนข้างๆ เอ่ยอย่างมีความนัยขึ้นว่า “ขอแนะนำเสียหน่อย สามสี่ท่านนี้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลของสำนักค่ายกลสวรรค์ ก่อนหน้านี้ได้สัมผัสกับวิชาของหลี่มู่ พูดอยู่ตลอดว่าอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขาสักหน่อย พวกเจ้ามิลองทำความรู้จักกันให้ดีๆ เล่า ฮี่ๆ”
ในฝูงชน แววตาที่คนวัยกลางคนสามสี่คนในชุดนักพรตลายเทาเที่ยมองหลี่มู่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ร้อนระอุและละโมบ สีหน้าซับซ้อนมาก
ได้ยินจ่างซุนฉางคงพูดเช่นนี้ ชายวัยกลางคนตาเดียวที่ผมเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวแล้วเดินออกมา ประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยยิ้มเสแสร้ง “ค่ายกลของสหายน้อยแตกต่างไม่เหมือนใคร ทำให้ข้าทึ่งจริงๆ ข้าคือโอวหยางจื้อ ผู้อาวุโสคุมกฎสูงสุดแห่งสำนักค่ายกลสวรรค์ ดวงตาข้างนี้เสียไปเพราะทำลายค่ายกลของสหายน้อย ของกำนัลชิ้นใหญ่ชิ้นนี้ ข้าจะไม่ลืมแน่นอน” ในคำพูดแฝงการประชดแดกดัน
หลี่มู่เข้าใจกระจ่างทันที
มิน่าเล่า ตนอาศัยลักษณะพื้นที่วางค่ายกลไปมากมายขนาดนั้น แต่กลับขวางผู้ฝึกตนนอกพิภพพวกนี้เอาไว้ได้ครู่เดียว ที่แท้อีกฝ่ายมีปรมาจารย์ค่ายกลนี่เอง
ทว่า น่ากลัวว่าความสามารถของคนสำนักค่ายกลสวรรค์จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มิฉะนั้นโอวหยางจื้อที่เป็นผู้อาวุโสคุมกฎสูงสุดคงไม่ถูกทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่ง
“พูดได้ดีๆ ค่ายกลของข้าก็ร้ายกาจจริงๆ นั่นแหละ เจ้าทึ่งก็สมควรแล้ว” หลี่มู่จงใจเอ่ยด้วยยิ้มจอมปลอมเช่นกัน “ศาสตร์ค่ายกลล้ำลึกเกินหยั่ง เจ้าความรู้ตื้นเขิน ตาบอดไปข้างหนึ่งนับว่าปกตินัก และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าที่ลำบากทำด้วยใจใช้วิธีนี้เตือนเจ้า วันหน้าศึกษาเรียนรู้ให้มากๆ เข้า จะได้ไม่ต้องตาบอดอีกข้าง”
“เจ้า…” โอวหยางจื้อโมโหจนแทบพ่นไฟ
ศิษย์คนอื่นๆ ของผู้อาวุโสสำนักค่ายกลสวรรค์ยากจะระงับเพลิงโทสะ อยากแล่หลี่มู่ทั้งเป็นนัก
“ข้าน้อยผู้คุมกฎซ้ายแห่งสำนักค่ายกลสวรรค์เฉียนเจิ้นอวิ๋น ขอถามสักหน่อย สหายน้อยหลี่ ความชำนาญด้านค่ายกลของเจ้าร่ำเรียนมาจากที่ใด เป็นศิษย์ใครสำนักใด?” ชายวัยกลางคนอีกคนที่บนหน้ามีจุดกระใหญ่ๆ หลายจุดประสานมือคารวะอย่างเกรงใจ ท่าทีดูเป็นมิตรยิ่งนัก น้ำเสียงถ่อมตนเป็นพิเศษ
หลี่มู่ตอบไปตามปาก “ไม่มีครู ไม่มีสำนัก เรียนเอาเอง”
“อ้อ เช่นนั้นแล้ว หรือสหายน้อยจะบังเอิญได้เจอโอกาสวาสนา ได้รับสืบทอดค่ายกลมาอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของคนหน้ากระเฉียนเจิ้นอวิ๋นฉายความยินดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา