บทที่ 459 คนต่อไปใคร? – ตอนที่ต้องอ่านของ จอมศาสตราพลิกดารา
ตอนนี้ของ จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 459 คนต่อไปใคร? จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ศิษย์พี่ของอวี๋ฮว่าหลง?
หลี่มู่พลันนึกขึ้นได้ อวี๋ฮว่าหลงเคยบอกเอาไว้ว่าเขาตามหลี่ไป๋อาจารย์ผู้มีพระคุณมาถึงดาวดวงนี้ตามเส้นทางเซียนโบราณ แต่มาเจอกับศัตรูแข็งแกร่ง หลี่ไป๋จึงจำต้องทิ้งพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง ซ่อนไว้บนโลกใบนี้ พวกเขาตกอยู่ในสภาวะหลับลึก อวี๋ฮว่าหลงตื่นเป็นคนสุดท้าย หลังจากตื่นขึ้นมาก็พบว่าศิษย์พี่ทั้งหลายของตนหายตัวไปแล้ว
หรือชวีอ๋องเจียงชิงหรวนคนนี้จะเป็นหนึ่งในศิษย์พี่ที่หายตัวไป?
มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นจึงจะอธิบายได้ว่า ทำไมเจียงชิงหรวนถึงมั่นใจเต็มร้อยจากกลอนโบราณนั้นว่าหลี่มู่มาจากดาวโลก ตอนนั้นเขาส่งคนไปเขาขาวพิสุทธิ์ เพื่อเชื้อเชิญให้หลี่มู่ไปฉู่ใต้ ก็เคยเตือนเอาไว้ว่ามนุษย์โลกอยู่บนดาวดวงนี้อันตรายมากนัก หากเปิดเผยตัวเมื่อใดจะมีภัยถึงแก่ชีวิต แต่หลี่มู่ที่อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้ความเป็นจริงปฏิเสธไปทันที
“ท่าทางเจ้าคงเข้าใจแล้ว?” ชวีอ๋องเจียงชิงหรวนเอ่ยยิ้มๆ
หลี่มู่แค่นเสียงหยันพูด “พูดแบบนี้ หมายความว่าเจ้าหักหลังศิษย์พี่ศิษย์น้อง หักหลังอาจารย์ และหักหลังบรรพชน?”
“ข้าก็แค่เลือกทางถูกต้องที่แท้จริงเท่านั้น กล่าวกันว่านกที่ดีรู้จักเลือกต้นไม้พำนักนอน ข้าเปลี่ยนเลือดคนบาปกลายเป็นคนใหม่แล้ว” ชวีอ๋องเจียงชิงหรวนยิ้มราบเรียบ “แน่นอน หากเจ้าจะบอกว่าเป็นการหักหลังก็ได้ หักหลังให้กับความมืดมิด ใจปรารถนาแสงสว่าง เหตุใดจะทำไม่ได้เล่า?”
“ฮ่าๆ เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ จะไปเป็นหมาให้คนอื่นเขา แล้วยังจะมาพูดจาสูงส่งไร้มลทินแบบนี้อีก ข้าละนับถือความหน้าด้านของเจ้าจริงๆ เหมือนกำแพงเมืองจีนอยู่ยั้งยืนยงชัดๆ” หลี่มู่ไม่ปกปิดความรังเกียจและจิตสังหารของตนเลยแม้แต่น้อย
เจียงชิงหรวนยังคงยิ้มบาง กล่าวว่า “เห็นทีเจ้าคงดื้อดึงไม่ฟังความ เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถอะ”
พูดจบเขาเดินถอยหลังไปสองก้าว ยืนอยู่ท่ามกลางคนชุดดำกลุ่มนั้นและไม่พูดอะไรอีก สายตาที่มองหลี่มู่เหมือนกับกำลังมองคนตาย แววตาเคลือบการเสียดสีและเยาะหยันไว้บางๆ
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องหลี่มู่พลางเอ่ย “เจ้าหนู เจ้ามีบุญคุณมอบผลไม้ให้ข้าหนึ่งลูก นี่เป็นบุญคุณส่วนตัว แต่ในกายเจ้าไหลเวียนด้วยโลหิตแห่งบาป เป็นผู้ผิดบาป นี่คือความแค้นส่วนรวม ข้ามิอาจละทิ้งความแค้นส่วนรวมเพราะบุญคุณส่วนตัวได้ หลังจากเจ้าตายแล้ว ข้าจะฝังศพร่างครบสมบูรณ์ให้เจ้าเอง”
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าสุนัขแก่ อย่าพูดคำเหลวไหลจอมปลอมมากมายเช่นนี้เลย ฟังแล้วข้าอยากจะอ้วก หากรู้ก่อนว่าเจ้าเป็นฆาตกรมารคลั่งมือเปื้อนเลือดแบบนี้ ผลไม้เทพสามสี่ลูกนั่นของข้า ต่อให้ยกให้หมากินก็ไม่มีทางให้เจ้าหรอก”
“ใช่แล้ว ตาเฒ่า น่าเสียดายเลือดชามนั้นของข้า มิสู้ให้หมากินเสียยังจะดีกว่า” หมิงเยวี่ยเอ่ยอย่างโมโหเดือดดาล
“ฮี่ๆ เจ้ารนหาที่ตายเอง ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกเสียตอนนี้” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเส้นผมหนวดเครางอกยาวอย่างรวดเร็ว ดวงตาฉายประกายจิตสังหารอย่างไม่ปกปิดสักนิด
หวางซืออวี่ที่อยู่ข้างๆ อยากจะพูดอะไร แต่ถูกจักรพรรดิเซียนหมิงกวงตรึงไว้ ค้างอยู่กับที่เหมือนโดนวิชาพันธนาการกาย ไม่อาจพูดอะไร ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
“ตาเฒ่า ใครจะอยู่ใครจะตายยังไม่แน่หรอก” จิตมุ่งต่อสู้พันล้อมทั่วร่างหลี่มู่ เขาหยิบดาบยาวโบราณอาวุธเต๋าชั้นยอดที่หาได้จากเมืองรอบนอกสุสานเทพออกจากมิติเก็บของ พลังจักรพรรดิเขียว จักรพรรดิเหลือง และจักรพรรดิแดงในกายไหลวนออกมา ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“เหอะๆ ลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือจริงๆ” จักรพรรดิฉินหมิงหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ย “แต่ว่า ก็แค่ไม่กลัวเท่านั้น ภายหลังตัวที่ถูกกินก็เป็นลูกวัวนั่นละ…จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าตายง่ายๆ เสียแล้วสิ” เขามองไปยังคนอื่นๆ ข้างกายหลี่มู่ “ข้าเคยบอกเอาไว้แล้ว วันนี้ไม่ฆ่าล้างบาง พวกเจ้าไม่ใช่ผู้ผิดบาป ละโทษตายได้ ขอแค่ไปเสีย ข้าจะไม่สืบสาวเอาความพวกเจ้า”
เขาจงใจใช้วิธีนี้ให้ผู้คนตีตัวออกหากหลี่มู่
“ถุย ตาเฒ่า ใครกลัวเจ้ากัน?” หมิงเยวี่ยกระโดดออกมา ท่าทางเหมือนแม่ไก่ตัวน้อยที่โกรธจัด “ข้าคือประมุขพรรคกระยาจกพรรคอันดับหนึ่งในแผ่นดิน จะเป็นพวกรักตัวกลัวตายได้อย่างไร? มีปัญญาก็เข้ามาเลยสิ”
ชิงเฟิงไม่พูดอะไร แค่พารถเข็นมาข้างกายหลี่มู่
กัวอวี่ชิงยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าว “ไม่ขอเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน” นี่เป็นคำสาบานที่วันนั้นพวกเขาสามคนพี่น้องกล่าวสาบานเอาไว้
ถึงแม้ในใจเขาจะเป็นห่วงภรรยาและลูกๆ ของตัวเอง แต่กลับไม่อาจทอดทิ้งพี่น้องเพราะเรื่องนี้ ภรรยาและลูกๆ อยู่ที่วิหารเทพหมาป่า วันหลังย่อมเติบโตขึ้นได้ จะต้องไม่เคืองแค้นเพราะการตัดสินใจของเขาในวันนี้แน่ มีแต่จะยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้น
วงเป่าสีดีดร้องสี่คนที่เหลือทำหน้ากระอักกระอ่วน
หลี่มู่เอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้า “พวกเจ้าสี่คน ไสหัวไปเสียเถอะ”
เขากระตุ้นวิชาเต๋าคลายมนต์สะกดเต๋าในกายของพวกเขาทั้งสี่ สำนักกำเนิดฟ้าล่มสลายแล้ว สี่คนนี้เป็นเชื้อไฟสุดท้ายของสำนัก ถึงแม้เป็นผู้ฝึกตนนอกพิภพเช่นกัน แต่ตลอดทางสี่คนนี้ก็รอบคอบระมัดระวัง ไม่เล่นเล่ห์เพทุบาย หลี่มู่ไม่เล่นงานพวกเขาเกินเหตุ ไม่คิดจะให้พวกเขาต้องมาตายไปด้วย จึง ‘ไถ่ชีวิต’ สี่คนนี้
ชายจมูกงุ้ม ชายคิ้วติดกัน ลูกศิษย์ตัวผอมสูง และฉางเซิ่งทั้งสี่มองหน้ากัน
พวกเขารู้สึกว่าวิชาคำสาปในกายสลายไป ในที่สุดก็เบาใจได้ แต่ว่าจะจากไปอย่างนี้น่ะหรือ?
หลังจากลังเลเล็กน้อย ชายจมูกงุ้มพลันเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “พวกข้า…ข้าไม่ไป นายท่าน ข้ายินดีสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน”
อีกสามคนที่เหลือต่างมองชายจมูกงุ้มอย่างตื่นตะลึง แต่ก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเลือกยืนอยู่ข้างหลี่มู่ทั้งหมด
เพราะพวกเขาไม่มีทางให้ถอยแล้ว
สำนักกำเนิดฟ้าล่มสลายแล้ว เมื่อถูกศัตรูในเขตดาราเทพวีรชนล่าสังหาร พวกเขาทั้งสี่ต่อให้ออกไปจากสุสานเทพก็ยากจะหนีจากชะตาถูกไล่ล่าไปได้ นอกจากนั้นผู้แข็งแกร่งสำนักมารฟ้าและวังประสานฟ้ายังจ้องพร้อมตะครุบ ถึงแม้พวกเขาไปจากหลี่มู่ก็จะถูกคนพวกนี้ไล่ฆ่า ไม่มีทางรอดอยู่ดี
ถอยมาอีกก้าวหนึ่ง ต่อให้มีชีวิตรอดออกไปจากสุสานเทพ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาเรียกหลี่มู่ว่านายท่าน ตัวตนของหลี่มู่คือผู้ผิดบาป รับใช้เขาก็เท่ากับติดป้ายผู้ผิดบาปไว้แล้ว ไม่มีทางรอดเหมือนกัน
ในเมื่อล้วนแต่ไม่มีทางรอด ทำไมจึงไม่สู้ตัวตายอย่างสง่างามเล่า?
ถึงแม้ตอนนั้นพอเจอหน้า หลี่มู่ก็ใช้หมัดเดียวซัดศิษย์น้องสวี่ตาย แต่ศิษย์น้องสวี่คนนั้นปกติกำเริบเหิมเกริม ข่มเหงรังแกศิษย์สำนักเดียวกัน หลังจากมาถึงก็ยิ่งชี้นิ้วสั่งการ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา กลับเป็นหลี่มู่เสียอีก ถึงจะลงไม้ลงมือ แต่ในช่วงเวลาสำคัญก็มอบสมบัติเต๋าให้พวกเขา และปล่อยพวกเขาไป นี่ทำให้พวกเขาเชื่อใจและซาบซึ้งใจหลี่มู่นัก
อีกด้าน ในดวงตาของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงจากสำนักมารฟ้าและคนของสำนักค่ายกลสวรรค์ทั้งหลายฉายประกายร้อนระอุ จะยอมมอบโอกาสเช่นนี้ให้วังประสานฟ้าได้อย่างไร จึงพากันแย่งลงมือ ยื้อแย่งกันสังหารหลี่มู่ เพื่อช่วงชิงวิชาเซียนเช่นกัน แต่ว่ากลับถูกจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอ่ยปากห้าม “ไปทีละคน”
เขาจะใช้วิธีนี้ทรมานหลี่มู่
หลี่มู่หัวเราะลั่น ก้าวยาวขึ้นไปรับหน้า “เยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้าใช้สิ่งมีชีวิต เผ่ามนุษย์ และเผ่าปีศาจของโลกใบนี้เป็นเครื่องสังเวย ล่าสังหารอย่างเหี้ยมโหด เห็นได้ว่าพวกเจ้าวังประสานก็ไม่ใช่คนดีะไร วันนี้ข้าจะส่งพวกเจ้าไปอยู่พร้อมหน้ากับเขาในปรโลก”
แสงดาบดุจแถบแพร ดาบหนึ่งฟันออกไป
ผู้อาวุโสขั้นนักรบซุนจี้มือถือกระบี่ยาวกวัดแกว่ง พลางเอ่ย “พลังของเจ้าอ่อนแอนัก ไม่ต่างจากมดปลวก คิดจะฆ่าข้า? ฮ่าๆ คนโง่เพ้อฝัน…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง
หง่าง!
เสียงระฆังดังขึ้น
ระฆังสะท้านวิญญาณ เมื่อระฆังดังวิญญาณหลุดลอย
ซุนจี้ไม่รู้ว่าหลี่มู่มีระฆังสะท้านวิญญาณ จึงไม่ทันได้ตั้งตัว รู้สึกเพียงเบื้องหน้าพร่าเลือน สมองมึนงง วิญญาณเหมือนจะหลุดออกจากร่าง ร่างกายก็ทำท่าจะเสียการควบคุม
เขาตื่นตกใจ เพิ่งจะคิดโคจรวิชาสงบวิญาณไว้ กลับพลันรู้สึกว่าคอเย็นวาบ รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าลอยสูงขึ้น จากนั้นถึงมองเห็นร่างไร้ศีรษะของตัวเองที่ด้านล่าง…
ต่อมา ความมืดมิดที่ไร้สิ้นสุดก็กลืนกินสตินึกคิดสุดท้ายของเขาไปหมดสิ้น
หลี่มู่เก็บดาบยืนตรง เตะร่างที่ยังยืนตรงของซุนจี้ล้มไป ในร่องกลางดาบบนดาบโบราณมีเลือดไหลย้อยลงมาตามปลายดาบก่อนหยดลงบนพื้น เขาแสยะยิ้มพูด “ผู้ฝึกตนนอกพิภพ ผู้อาวุโสขั้นนักรบอะไรกัน ก็ยังถูกเชือดเหมือนหมูอ้วนพีในโรงฆ่าสัตว์ไม่ใช่หรือไร หนึ่งดาบหนึ่งคน…ต่อไปใคร?”
รอบๆ มีเสียงสูดลมหายใจ
ส่วนลูกศิษย์หลายคนที่เหลืออยู่ของวังประสานฟ้าอึ้งตะลึงไปในทันที
ซุนจี้ตายเร็วเกินไป ไม่มีใครตั้งตัวทันเลย
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา