สมาชิกคนอื่นจ้องมองมาที่ซ่งชางหลิน อดยอมรับไม่ได้ว่านี่ เหมือนกับเป็นความหวังสุดท้ายที่จะกลับไปยังดาวโลก
ยิ่งไปกว่านั้น เหมือนกับยังมีเงื่อนไขและโอกาสที่จะทําให้เป็นจริง
สามสิบปีที่ผ่านไป พวกเขาถูกยึดร่างกาย และถูกคนจากสํานัก ผู้วิเศษวิญญาณบีบบังคับให้เป็นทาสและผู้ใช้แรงงาน ศึกษาค้นคว้า เทคนิคการรวมวิชาผู้วิเศษและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ถึงแม้จะยากลําบาก ทว่ากลับมีผลลัพธ์ที่ดี ได้เข้าสู่เส้นทาง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมหัศจรรย์สายใหม่
เช่น มนุษย์จักรกลรหัส ‘เทพสงคราม’
แน่นอนว่ายังมีเทคนิคมหัศจรรย์อื่นๆ อยู่อีกหลายอย่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานอวกาศ ‘ฮาร์บินเจอร์’ ลํานี้ ได้ติดตั้ง อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ล�าหน้าที่สุดเมื่อสามสิบปีที่แล้วไว้อย่างมากมาย ส่วนใหญ่มีเทคโนโลยีทางการทหารเป็นหลัก เทคนิคมากมายที่ต่อให้ เอามาใช้บนดาวโลกในสามสิบปีให้หลัง ฟักมันออกมาใหม่ก็ยังสามารถ ทําให้คนมากมายตกตะลึงได้เลยทีเดียว
และปัจจุบัน เทคนิคเหล่านี้เมื่อมาอยู่บนดวงดาวที่มีแหล่ง ทรัพยากรแร่อุดมสมบูรณ์ ได้รับการใช้ประโยชน์และฟักไข่ออกมา อย่างสมบูรณ์แบบ ก่อให้เกิดเทคนิคต่างๆ มากมาย แค่ดึงจากบางส่วน ออกมาพูด ก็ไกลกว่าวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีบนดาวโลกไปโขแล้ว
ตอนนี้เมื่อแย่งชิงอํานาจการควบคุมของร่างกลับมาได้ พวกเขาที่ ยังอายุน้อย ยังมีเวลาตามหาการคงอยู่ของรอยแยกมิติได้อยู่
ถึงอย่างไร ขอแค่หาเป้าหมายได้ ก็เพียงพอที่จะประคับประคอง ความกระตือรือร้นในชีวิตของพวกเขาต่อไปได้
ดังนั้น พวกแอนดรูว์ ซูชั่ว ซ่งชางหลิน จึงทุ่มตัวเข้าไปอยู่กับ การศึกษาค้นคว้าและการคํานวณในเวลาอันรวดเร็ว
หลี่มู่กลับเดินเล่นไปมาอยู่ในฐานทัพนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น เข้าใจข้อมูลต่างๆ มากขึ้น
นอกจากฐานหลักแห่งนี้แล้ว กลุ่มคนชุดดํายังสร้างฐานย่อย บางส่วนเอาไว้ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจว ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน หลี่มู่ได้ กําชับดาบรับใช้ทั้งสี่ ให้ไปยังสถานที่ต่างๆ และควบคุมฐานย่อย เหล่านั้น
ในฐานมีคนอยู่ราวห้าร้อยคน ในนั้นเป็นองครักษ์เสียสองร้อยกว่า ที่เหลือกลับเป็น ‘พนักงานการวิจัยวิทยาศาสตร์’ ที่สํานักผู้วิเศษ วิญญาณเพาะเลี้ยงขึ้น
คนเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ล้วนถูกชิงตัวส่งมาที่นี่ตั้งแต่ยังเล็ก ใช้ วิทยาศาสตร์ของดาวโลกเพาะบ่มขึ้นมา ตอนนี้ได้กลายเป็นสมาชิกที่ รอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ระดับสูง ตรงกันข้ามกลับไม่เข้าใจเรื่องวิถียุทธ์ อะไรเลย กระทั่งไม่รู้ว่าโลกด้านนอกฐานทัพเป็นแบบไหนด้วยซ�าไป สามารถเป็นผู้ช่วยของสมาชิกทั้งยี่สิบเอ็ดคนได้เป็นอย่างดี
พวกแผนการดัดแปลงที่ต้องใช้ร่างมนุษย์เป็นๆ มาดําเนินการ ได้ ถูกปิดผนึกไว้ชั่วคราว
สํานักผู้วิเศษวิญญาณจับเอาผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ที่พลังไม่ เหมือนกันมา โดยเฉพาะผู้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งจะมีจํานวนมากหน่อย เพื่อมาดัดแปลงให้กลายเป็นมนุษย์จักรกลรหัส ‘เทพสงคราม’ จนได้รับ ความสําเร็จ
เหล่าศิษย์ที่ติดตามหลี่ไป๋มายังดาวดวงนี้ก่อนหน้า นอกจากอวี๋ฮว่า หลงและเจียงชิงหรวนทั้งสองคนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนถูกดัดแปลงจน กลายเป็นมนุษย์จักรกล…พวกเขาถูก ‘เจ้าคนกลับกลอก’ เจียงชิงหรวน ขาย จนกลายมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
หลังจากการสอบถาม หลี่มู่ได้รู้ว่าในสุสานเทพตอนนั้น มนุษย์ จักรกลที่ถูกเขาจัดการไปสิบกว่าคน มีศิษย์พี่น้องของอวี่ฮว่าหลงทั้ง สามอยู่จริงๆ
หลี่มู่นํามนุษย์จักรกลเหล่านั้นส่งให้กับพวกของซูชั่ว ทดลอง ซ่อมแซม ทดลองปลุกจิตสํานึกดั้งเดิมของคนเหล่านี้ขึ้นมา…มนุษย์ จักรกลรหัส ‘เทพสงคราม’ จริงๆ แล้วยังคงมีชีวิตของร่างเดิมอยู่ เพียง แค่ถูกล้างเอาความทรงจําออกไป จิตสํานึกของตนเองและประสาท ตอบรับบางส่วนถูกแก้ไขไปเท่านั้น อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะรักษษ พวกเขาให้กลับมาอีกครั้ง
เรื่องเฉพาะทาง ก็ส่งให้คนเฉพาะทางทําไป
ส่วนพวกซูชั่ว ซ่งชางหลิน ในที่สุดจะสามารถค้นหาสิ่งที่เรียกว่า ‘รอยแยกมิติ’ นั่นได้หรือไม่ หลี่มู่จริงๆ ก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก
จากที่เขาเห็น ทฤษฎีของซ่งชางหลินอาจจะถูกหรืออาจจะผิดก็ได้ แต่ว่าต่อให้เป็นเรื่องที่ถูก ก็ต้องใช้เวลาและกําลังวังชาอย่างมากเพื่อ ยืนยัน กว่าที่จะค้นพบ ‘รอยแยกมิติ’ ที่แท้จริง ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ เกิดขึ้นในอีกหลายปีให้หลังแล้ว เวลาที่นานขนาดนั้น หลี่มู่รอไม่ได้
หลี่มู่ตอนนี้ยังคงยืนหยัดความคิดของตนเอง ต้องการจะหา เส้นทางเซียนในครั้งนั้นให้เจอ จากนั้นใช้มันทวนย้อนกลับไป
และเบาะแสที่จะหาเส้นทางเซียน ก็มาตกอยู่ที่ตัวชวีอ๋องเจียงชิง หรวน
เขากับอวี๋ฮว่าหลงสองคน เป็นคนจากพื้นดินที่เหยียบเส้นทาง เซียนเข้าสู่โลกใบนี้ในครั้งนั้น อวี่ฮว่าหลงอยู่ในสภาพวิญญาณที่ไม่ มั่นคงนัก เจียงชิงหรวนน่าจะยังมีความทรงจําที่สมบูรณ์อยู่ นี่จึงเป็น หนึ่งในเหตุผลที่หลี่มู่ไม่สังหาร ‘คนปลิ้นปล้อน’ คนนี้ทิ้งเมื่อปีก่อน
หลี่มู่จัดการวางค่ายกลป้องกันของฐานเสียใหม่ จากนั้นได้เปิดค่าย กลเคลื่อนย้ายขนาดเล็กส่งตัวไปที่เมืองขาวพิสุทธิ์ขึ้นแล้วจึงออกจาก ที่นี่ พาตัวเจียงชิงหรวนกลับไปยังเรือนดาบด้วยกัน
ภายในฐาน
“นายไม่ควรบอกกับหลี่มู่มากขนาดนั้น” ซูชั่วมองซ่งชางหลิน เอ่ย ขึ้นอย่างกะทันหัน “โดยเฉพาะเรื่องทฤษฎีรอยแยกมิติที่อาจจะมีความ คงที่ พวกเราไม่ใช่ว่าเคยพูดไว้หรือ ความลับนี้จะต้องปิดบังเอาไว้ให้ดี”
ซ่งชางหลินเป็นชายหนุ่มแบบฉบับทางตะวันออกเฉียงเหนือ ร่างกายแข็งแรงใบหน้าเหลี่ยม เพียงแค่ยิ้มก็ทําให้คนเอาเขาไปเชื่อมกับ คําว่า ‘คนซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยม’ ได้ทันที ผู้ชายวิทยาศาสตร์แห่งปีแปดศูนย์ เมื่อได้ยินก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวซู เธอหมายความว่าอะไร?
หรือว่าเธอไม่เชื่อเสี่ยวมู่งั้นหรือ? เขาเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตพวกเรา เลยนะ”
ซูชั่วที่ดูแล้วเหมือนกับเป็นแบบฉบับสาวงามแห่งเจียงหนาน ผิว ขาวราวหยก รูปร่างงดงาม สูงประมาณหนึ่งร้อยหก….สี่โดยประมาณ เพียงแค่ระหว่างคิ้วไม่ค่อย่มีความอบอุ่นอ่อนโยนตามฉบับสาวทางใต้ แต่กลับมีบุคลิกผึ่งผาย ดูนิสัยเย็นชาและแข็งกร้าว
เมื่อมองคนตรงไปตรงมาอย่างซ่งชางหลิน ซูชั่วก็เอ่ยขึ้นอย่างมี เหตุผล “ฉันก็ซาบซึ้งที่เสี่ยวมู่ช่วยพวกเราเอาไว้ แต่ว่า เรื่องมัน เกี่ยวข้องไปถึงความปลอดภัยของดาวโลก พวกเราจึงต้องระมัดระวัง ขึ้นให้มาก ตอนมาถึงโลกใบนี้ได้เห็นเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย ถ้าหากเสี่ยวมู่ไม่ใช่ชาวโลกล่ะ และเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้เป็น แผนการของสํานักผู้วิเศษวิญญาณล่ะ เช่นนั้นพอหารอยแยกมิติเจอ แล้วเปิดเผยเป้าหมายของดาวโลก จนกลายเป็นนําเอาภัยพิบัติที่แสน น่ากลัวไปสู่ดาวโลกขึ้นมา พวกเราก็จะกลายเป็นคนบาปของคนทั้งโลก เลยนะ”
“แต่ว่าสิ่งที่หลี่มู่พูดมาทั้งหมดก็ไม่มีอะไรที่ผิดเลยนะ” ซ่งชางหลิน ดันแว่นตนเอง
“เหล่าผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์เหล่านั้นบนโลกใบนี้ วิธีการสุดแสนจะน่า กลัว กระทั่งครอบครองร่างก็ยังทําได้ แล้วใครจะรู้ว่ามันสามารถดึงเอา
ความทรงจําไปได้หรือไม่ ถ้าหากเขาแช่งยิงเอาความทรงจําของคนมา ล่ะ เช่นนั้น….” ซูชั่วเอ่ยขึ้นอย่างกังวล
“นี่…มันเป็นไปไม่ได้น่า?” ซ่งชางหลินเอ่ยขึ้น “เสี่ยวมู่ดูไม่เหมือน พวกปีศาจร้ายที่คอยครอบครองร่างคนนะ…เสี่ยวซู เธอจะระวังตัวมาก เกินไปหรือเปล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา