‘ผู้คนบนโลกพูดกันว่ากินอิ่มแล้วถึงจะมีกำลัง คำพูดง่ายๆ แฝงไว้ด้วยหลักเหตุผลสูงสุด…พลังกำเนิดมาจากอาหาร นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหลักพื้นฐานของการฝึกฝนเหมือนกัน’
หลี่มู่หยุดการเคลื่อนไหว คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาสูงมาก มักจะสรุปความรู้เชื่อมโยงได้
ความสามารถในการเรียนรู้เช่นนี้คือการคลำก้อนหินข้ามแม่น้ำ ถูกหรือผิดจำต้องใช้เวลาและการพิสูจน์ผ่านการปฏิบัติจริง
สำหรับจอมยุทธ์ที่ควบคุมกำลังภายในได้แล้ว อาหารทั่วไปสามารถมอบพลังให้ได้ แต่พลังวิญญาณในธรรมชาติก็เป็นหนึ่งใน ‘อาหาร’ ที่มอบพลังให้ได้ชนิดหนึ่ง พลังที่ได้จาก ‘อาหาร’ ชนิดนี้รับมาผ่านวิชาฝึกตนพิเศษ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับพลังล้ำหน้าเกินคนทั่วไป
หลังจากที่สำแดงท่ายืนตั้งต้นของ ‘หมัดยุทธแท้’ หกรอบกับสองกระบวนท่าก่อนหน้านี้แล้ว หลี่มู่รู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัว
นี่เป็นเพราะการแบกรับของร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว
เขาเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ และเริ่มฝึกฝน ‘พลังก่อนกำเนิด’
‘หมัดยุทธแท้’ และ ‘พลังก่อนกำเนิด’ คือพื้นฐานพลังทั้งหมดของเขา
ในด้านการฝึกฝนวิชาทั้งสอง เขาไม่เคยขี้เกียจหรือหยุดพักเลย
ขณะหายใจ อากาศในห้องฝึกยุทธ์เกิดการเปลี่ยนแปลง
อากาศสองสายที่เปล่งแสงสีขาวยาวสามฉื่อยืดแผ่เข้าไปในจมูกหลี่มู่ราวกับงูสีขาวตัวเล็ก
ผิวกายของหลี่มู่เกิดประกายสีเงิน ร่างกายคล้ายกำลังเปล่งแสงอย่างไรอย่างนั้น เส้นผมทุกเส้นระยิบระยับ ในช่วงหลายเดือนที่ดาวดวงนี้ ผมของเขายาวเร็วมากจนเกือบจะถึงบ่าแล้ว
กล้ามเนื้อของเขาก็เหมือนจะโปร่งแสงจนแทบมองเห็นเส้นเลือดได้รางๆ
ทั้งตัวลี่มู่ถูกห้อมล้อมอยู่ในบรรยากาศที่ลึกล้ำมหัศจรรย์
ผ่านไประยะหนึ่ง หลี่มู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น หยุดฝึกฝนการหายใจ
ประกายแสงบนร่างและบรรยากาศลึกลับสลายไป
เขาลุกขึ้นมา รู้สึกว่าทั้งตัวโล่งสบาย
โดยเฉพาะสมองยิ่งปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ความรู้สึกแบบนี้อย่างกับดื่มยาเซิงมิ่งอีเฮ่า[1]ในตำนานเลย หัวสมองแล่นปรื้ดเลย…” หลี่มู่เกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองฉลาดขึ้นจริงๆ
เขาย้อนคิดถึงประสบการณ์การต่อสู้เมื่อคืนวาน ก็พบจุดที่ก่อนหน้านี้ละเลยไปมากมายทันที และยิ่งเข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิม
โดยเฉพาะระหว่างการประลองดาบกับ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวบนหน้าผาที่ปรากฏซ้ำในหัวเขาไม่หยุด เขาเข้าใจจุดอ่อนเรื่องจังหวะ ขั้นตอน การโคจรพลัง และด้านอื่นๆ ของ ‘ชักดาบสะบั้น’ ที่ตนใช้ทันที
เขาทดลองเลียนแบบใหม่จนได้ผลออกมาอย่างรวดเร็ว
หากให้เขาประลองกับอู่เปียวอีกครั้งในสถานการณ์เดียวกัน กระบวนท่าเดียวกัน เขามั่นใจเต็มร้อยว่าสู้ได้สูสีกัน ไม่ใช่กระบวนท่าเดียวก็เกือบโดนอู่เปียวผ่าอกเอา
สิ่งที่ยิ่งน่าอัศจรรย์คือ เมื่อคิดย้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนท่าและหลักการปล่อยพลังของ ‘เพลงดาบโลกันตร์’ อีกครั้ง ทั้งหมดก็กระจ่างขึ้นทันที มีความรู้สึกเหมือนเพียงแวบเดียวก็มองหลักการลึกล้ำทั้งหมดออก ราวกับว่าฝึกมาหลายรอบแล้ว
‘หรือ ‘พลังก่อนกำเนิด’ จะสามารถเปิดความสามารถด้านวิถียุทธ์ได้?’
หลี่มู่ตื่นตะลึงเป็นที่สุด
หากใช้ทฤษฎีของโลกมาอธิบายแล้วละก็ ‘พลังก่อนกำเนิด’ คล้ายจะมีความสามารถบางอย่างที่ปลดขีดจำกัดของสมองได้?
เขาตกใจเป็นอย่างมาก ในหัวจัดการตำราวิชาต่อสู้ที่เคยอ่านมาทั้งหมด รวมถึง ‘หกดาบวายุเมฆา’ ที่คิดขึ้นเอง และได้ผลลัพธ์กลับมามหาศาล แม้กระทั่ง ‘ชักดาบสะบั้น’ กับ ‘ตัดอสุนี’ ของหกดาบวายุเมฆาที่เป็นรูปเป็นร่างขั้นต้นแล้วก็ยังมีช่องว่างให้พัฒนาไปอีกขั้น
แต่เมื่อเขาเปลี่ยนไปขบคิดโจทย์ข้อยากๆ ของฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์ที่เรียนตอนอยู่บนโลก ก็พบว่าไม่มีความรู้สึกแบบกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที กลับยังคงมึนงง แก้โจทย์ได้ลำบากนัก ยากอย่างไรก็ยากอย่างนั้น ไม่อาจสัมผัสถึงความรู้สึกว่าสติปัญญาถูกยกระดับขึ้นจนแก้โจทย์ยากๆ ได้ทันที
‘แบบนี้ ความรู้ที่ยกระดับขึ้นก็แค่ความสามารถในการเข้าใจทฤษฎีของศิลปะการต่อสู้เท่านั้น?’
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เขาเข้าใจได้ว่าการรู้แจ้งในหัวประเภทนี้คือการยกระดับความเข้าใจวิถียุทธ์
หลังจากนั้นสักครู่ เขาเปิดประตูห้องฝึกยุทธ์ออกมา
เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงและนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงยืนตาปริบๆ อยู่หน้าประตู
“เอ๋? พวกเจ้ามายืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน?”
“ใต้เท้า การประลองของพรรคมังกรฟ้าและสำนักเขี้ยวพยัคฆ์เริ่มได้ระยะหนึ่งแล้ว”
“อะไรนะ? เร็วขนาดนั้นเลย ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าอีกหนึ่งชั่วยามถึงจะเริ่มไม่ใช่หรือ?”
“คุณชาย ยามนี้ห่างจากเวลาอาหารเช้ามาหนึ่งชั่วยามครึ่งแล้วขอรับ”
“เร็วขนาดนั้นเลย?”
“อะไรเร็วขอรับ?”
“หมิงเยวี่ยเล่า?”
“แอบหนีออกไปแล้ว…น่าจะไปสอดรู้สอดเห็นที่ลานนัดประลอง”
……
“สู้ๆ สู้ๆ เอามันให้ตาย!”
ท่ามกลางฝูงชนที่เอะอะรอบเวทีประลอง ถึงแม้เสียงเด็กผู้หญิงใสแจ๋วจะไม่ดังก้องอะไร แต่ก็ดึงความสนใจจากผู้คนได้มากมาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา