เดิมทีเขาวางแผนเพื่อฆ่าหลี่มู่ไว้มากมาย ใครจะไปรู้ เจ้าหลี่มู่กลับแอบอยู่ในที่ว่าการโดยตลอด แม้ว่าพรรคจันทราโลหิตจะแข็งแกร่งและมีเส้นสายของทางการ แต่ก็เสี่ยงเกินไปที่จะบุกเข้าที่ว่าการแล้วฆ่าขุนนางขั้นเก้าคนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงได้แต่รอโอกาสเท่านั้น ทว่าดูทีท่าในตอนนี้ เจ้าหลี่มู่คล้ายมัวแต่หัวหดอยู่ในที่ว่าการ แล้วจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่?
‘ต้องคิดหาวิธีล่อหลี่มู่ออกมา’
เจิ้งหลงซิงครุ่นคิดอยู่ในใจ ออกจะอดทนรอไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
……..
วันคืนผ่านพ้นไป
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปครึ่งเดือน
ในห้องฝึกฝนด้านหลังที่ว่าการ หลี่มู่ชกไปที่หินอัคนีสูงเท่าตัวคน
มีเสียงระเบิดดังขึ้น
หินอัคนีที่ดาบหอกฟันแทงไม่เข้าแตกกระจายเหมือนแป้งหมี่ กลายเป็นหินชิ้นเล็กชิ้นน้อย
พลังขนาดนี้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์สามัญไปแล้ว
“หมัดนี้ไม่รู้ว่ามีพลังมากน้อยแค่ไหน”
หลี่มู่เป่าสะเก็ดหินบนหมัดด้วยความพึงพอใจ
หลายวันมานี้ ช่วงเวลากลางวันเขาจะฝึกหมัดยุทธ์แท้ ในที่สุดก็ฝึกท่าพื้นฐานได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเขาจะฝืนใช้กระบวนท่าแรก ‘ค้อนทะยานฟ้า’ ได้รอบหนึ่ง ทว่ายังทำได้ไม่ถึงขั้น แล้วทุกครั้งที่ใช้จะรู้สึกคล้ายกล้ามเนื้อฉีกขาด หากดึงดันฝืนฝึกต่อไป กล้ามเนื้อคงจะฉีกขึ้นมาจริงๆ หรือแม้กระทั่งบาดเจ็บไปถึงภายใน
หลี่มู่ทดลองหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้
มาถึงเวลานี้ เขาเข้าใจหมัดยุทธ์แท้และพลังก่อนกำเนิดลึกซึ้งขึ้นแล้ว
หมัดยุทธ์แท้น่าจะเป็นวิชาฝึกร่างกายที่หล่อหลอมกายา
ทุกท่วงท่ามีผลเสริมร่างกายให้แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์
ในเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลี่มู่ฝึกท่าพื้นฐานและท่า ‘ค้อนทะยานฟ้า’ ไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็รู้สึกว่าผิวหนังเขาแข็งแรงทนทานขึ้นใช้เศษหินแหลมมากรีดก็ไร้รอยขีดข่วน เหลือเพียงร่องรอยจางๆ เท่านั้น
ผลของพลังก่อนกำเนิดแตกต่างกับหมัดยุทธ์แท้โดยสิ้นเชิง
มันสามารถช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายในและเพิ่มความแข็งแกร่งของจิตใจ
ทุกคืนหลี่มู่จะฝึกฝนพลังก่อนกำเนิด
วิธีการหายใจแบบนี้ทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า แม้ว่าจะตื่นทั้งคืนก็ยังกระฉับกระเฉง แถมประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขายังแกร่งขึ้นมาก หูดีตาไว การได้ยิน การมองเห็น และปฏิกิริยาตอบสนองต่างก็ดีขึ้นมากนัก
ส่วนพลังก่อนกำเนิดช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้ดีเยี่ยมยิ่ง หลายต่อหลายครั้งที่หลี่มู่ฝืนฝึกหมัดยุทธ์แท้จนกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในบาดเจ็บ ก็รักษาด้วยพลังก่อนกำเนิด
เมื่อฝึกพลังก่อนกำเนิด ด้วยจังหวะและวิธีการหายใจที่แปลกออกไป ทำให้ซึมซับพลังวิญญาณในธรรมชาติเข้ามา ชะล้างอวัยวะในร่างกายแล้วขจัดสิ่งสกปรกออกไปผ่านลมหายใจ คล้ายกับการผลัดขนชำระล้างกระดูกในตำนาน ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงร่างกายหลี่มู่จนให้ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง
ท่ามกลางความไม่ชัดเจน หลี่มู่พอจะเข้าใจจุดประสงค์ของซินแสเฒ่าได้
พลังก่อนกำเนิดและหมัดยุทธ์แท้ หนึ่งในหนึ่งนอก เติมเต็มซึ่งกันและกัน สามารถทำให้ร่างกายของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
หลี่มู่ใช้ชีวิตบนโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษถึงสิบสี่ปี สูดดมอากาศพิษ กินอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกาย ทำให้ในตัวเขาตอนนี้ยังคงมีสิ่งแปลกปลอมและอาการบาดเจ็บภายในหลงเหลืออยู่ เมื่อเขาฝึกสองวิชานี้ ร่างกายจึงกลับสู่สภาพตามธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดทีละน้อย มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ในภายหน้าเขาถึงจะสามารถก้าวเข้าสู่วิถีแห่งการต่อสู้ระหว่างดวงดาว และปะทะกับเหล่ายอดฝีมือในอาณาจักรดวงดาวได้
เรื่องเดียวที่ทำให้หลี่มู่รู้สึกหดหู่ใจในตอนนี้คือ ไม่ว่าจะเป็นพลังก่อนกำเนิดหรือหมัดยุทธ์แท้ก็ดูเหมือนจะใช้ในการสู้จริงไม่ได้เลย
“แค่กๆ…” ระหว่างที่หลี่มู่คิดเขาก็ไอและบ้วนเสมหะออกมา
ในเสมหะมีเส้นเลือดสีแดงเข้มกับตะกอนสีดำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
ครั้งแรกที่เขาบ้วนเสมหะปนเลือด เขาตกใจเป็นอย่างมาก คิดว่าตัวเองต้องเจ็บป่วยร้ายแรงเป็นแน่
ต่อมาเขาถึงค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะวิชาพลังก่อนกำเนิดทำความสะอาดภายใน ขับสารพิษและอาการบาดเจ็บในห้าอวัยวะตันหกอวัยวะกลวง[1]ออกมา การบ้วนเสมหะปนเลือดเป็นเพราะพลังก่อนกำเนิดทำให้อวัยวะภายในแข็งแรงและเป็นการฟอกปอด จึงเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น
“อยู่ในจวนที่ว่าการมา 20 กว่าวันแล้ว ถึงเวลาออกไปสูดอากาศบ้าง”
หลี่มู่ไอไปออกกำลังไป
เดิมทีเขาเป็นเด็กกระตือรือร้นที่ชอบความครื้นเครง หากเขาไม่กลัวว่าจะโดนจอมยุทธ์จากพรรคจันทราโลหิตสังหาร คงออกไปเที่ยวในตัวเมืองนานแล้ว
ตอนนี้เมื่อแข็งแกร่งขึ้นหน่อยก็นับว่ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังจากคิดไปคิดมา หลี่มู่ก็ตัดสินใจออกไปเดินรับลมในเมือง
ซินแสเฒ่าเคยบอกว่า สิ่งต้องห้ามที่สุดในการฝึกวิชาคือการปิดประตูสร้างเกวียน (ทำตามใจโดยไม่สนความเป็นจริง) ฝึกฝนหนักเป็นเวลาหนึ่งปี หากมีเวลาไม่สู้แลกเปลี่ยนวิชากับคนอื่น อาจได้ประโยชน์ในช่วงสู้ตัดสินความเป็นความตายมากกว่าการฝึกหนักนับสิบปี
หลี่มู่ไม่มีทางอยากจะต่อสู้ถึงขั้นตัดสินความเป็นความตาย แต่การได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ดี
ไหนๆ ก็มายังโลกใบนี้แล้ว ควรทำตัวให้กลมกลืนเสียหน่อย
หลี่มู่คิดแบบนั้น เขายังไม่ทันได้ทักทายเด็กรับใช้บัณฑิตทั้งสอง ทันใดนั้น…
ตึง ตึง ตึง!
เสียงกลองราวฟ้าลั่นดังมาจากหน้าประตูทางเข้าของที่ว่าการ ดังขนาดรู้สึกว่าที่ว่าการอำเภอสั่นสะเทือน
ชิงเฟิงวิ่งจนหายใจไม่ทันเข้ามา “คุณชาย มีคนตีกลองร้องทุกข์ขอรับ”
หลี่มู่ตาลุกวาว
“เสียงตีกลอง…มีคนร้องทุกข์เหรอ”
เขานึกถึงละครบนโลกมนุษย์ที่มีฉากนายอำเภอออกโรงไต่สวนคดีขึ้นมา
ฮ่าๆๆ!
หลี่มู่หัวเราะลั่นอยู่ในใจ
ใช้โอกาสนี้แสร้งทำเป็นขุนนาง ผ่อนคลายสักหน่อยดีกว่า
ฮี่ๆ นึกถึงละครพวกยอดตุลาการราชวงศ์ซ่งกับปมปริศนาพยานมรณะ เขาดูไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ ได้เอามาใช้ในครั้งนี้แล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา