“ไร้เหตุผลสิ้นดี ทหาร ไปเดี๋ยวนี้ ไปเอาตัวเจ้าของร้านกับเจ้าสุนัขชั่วโฉดที่ลงมือนั่นมา…จับตัวมันมาฟังการไต่สวนทั้งหมด”
หลี่มู่เคาะไม้ปลุกสติเสียงดังด้วยแรงโกรธ
ตอนแรกหลี่มู่คิดว่าจะมาแสร้งทำเป็นตัดสินคดี แต่ในเวลานี้เขาโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
องครักษ์ทั้งหกคนที่อยู่ศาลได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาด และไม่ได้น้อมรับคำสั่ง
“เป็นอะไรไป?” หลี่มู่จ้องไปที่เหล่าองครักษ์
“เอ่อ…ใต้เท้า เรื่องเป็นแบบนี้” องครักษ์คนเดิมที่คอยส่งสัญญาณทางสายตาเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก่อนเอ่ยกระซิบที่ข้างหู
ที่แท้ร้านโอสถเทพนี่ก็มีอำนาจหยั่งลึกในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์ มีพรรคจอมยุทธ์คอยหนุนหลัง ว่ากันว่าเป็นพรรคเสินหนง หนึ่งในสี่ผู้มีอิทธิพลด้านผลผลิตเกษตรกรรมในอำเภอเมืองนี้ เหิมเกริมอยู่ที่นี่มาเนิ่นนาน ทำร้ายและฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้าพวกขุนนางในที่ว่าการจึงได้แต่ปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้
“ข้าไม่สน ไปจับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ จับมาให้ครบทุกคน เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อน ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางเมือง เรื่องพวกนี้ข้ามีสิทธิ์จัดการ” หลี่มู่โกรธจนลมออกหูแล้ว
หนึ่งในสี่ผู้มีอิทธิพลแล้วอย่างไร บังอาจเหิมเกริมเข่นฆ่าผู้คนเป็นเรื่องปกติ บัดซบเกินไปแล้ว
‘นี่มันแก๊งยามากุจิที่เป็นสังคมด้านมืดในต่างโลกดีๆ นี่เอง
แต่เราไม่สน เราคือขุนนางเมือง เป็นใหญ่ที่สุดในอำเภอเมืองขาวพิสุทธิ์’
ในใจหลี่มู่รู้สึกรังเกียจมาก ต่อให้เป็นแก๊งยามากุจิ อย่างไรก็สู้ขุนนางเมืองไม่ได้หรอก
“คือ…” องครักษ์คนนั้นลังเล
องครักษ์คนอื่นที่ยืนห่างๆ กัน แต่ละคนก้มหน้าก้มตา เกรงว่าหลี่มู่จะสั่งพวกตนไปจับคนมา
“ยืนนิ่งอยู่ทำไม ไปมันให้หมด จับคนกลับมาให้ข้า” หลี่มู่รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นขุนนางเมืองของตัวเองถูกท้าทาย เขาจึงสั่งเสียงดังด้วยคำพูดดุดัน
ในที่สุด ภายใต้คำสั่งเด็ดขาดของขุนนางเมืองหลี่มู่ องครักษ์ทั้งหกตัวสั่นเทิ้ม ฝืนใจออกไปจับคนด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ตอนนี้ภายในศาลดูโล่งไปถนัดตา
เด็กน้อยฉินเอ๋อร์ร้องไห้ออกมาเบาๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน
หลี่มู่รู้สึกเห็นใจ จึงลุกแล้วเดินไปตรงกลาง ปลอบโยนเด็กหญิงที่กำลังร่ำไห้ด้วยความตื่นกลัว ท่าทางแสดงออกถึงความยึดมั่นในความยุติธรรม ตบหน้าอกตัวเองแล้วพูดกับหญิงผู้นั้นว่า “พวกเจ้าโปรดวางใจ ข้าจะทวงความยุติธรรมให้พวกเจ้าเอง”
หากขุนนางไม่ทำเพื่อประชาชน สู้กลับบ้านไปขายมันหวานไม่ดีกว่าหรือ
แม้ว่าหลี่มู่จะเป็นตัวปลอม แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเที่ยงธรรม ในเมื่อเขาแอบอ้างตัวเป็นขุนนางเมือง ก็ต้องทำหน้าที่ของมันให้ดี
“ขอบคุณใต้เท้ามากเจ้าค่ะ” ในแววตาพร่ามัวของหญิงม่ายเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
นางบาดเจ็บหนัก ยามเอ่ยวาจาจึงหายใจขาดห้วง มุมปากมีโลหิตไหลออกมา
พูดตามตรง การมาร้องทุกข์ ณ ที่ว่าการเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของนางขณะอับจนหนทาง นางก็ไม่กล้าคาดหวังสิ่งใดมาก แต่ดูแล้วขุนนางเมืองคนใหม่เหมือนจะเป็นตงฉินที่เกลียดชังความชั่วร้าย ทำให้หญิงที่น่าสงสารอย่างนางมีความหวังขึ้นมา
ประจวบเหมาะกับที่หมิงเยวี่ยวิ่งเข้ามาพอดี
หลี่มู่หันศีรษะไปมอง “เจ้า ใช่เจ้านั่นแหละ รีบไปตามหมอในเมืองมารักษาพี่สาวท่านนี้ก่อน”
หมิงเยวี่ยชะงักฝีเท้า ใบหน้าเบิกบานกลับกลายเป็นแข็งค้าง แล้วส่ายหน้าเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่เอา ข้าอยากดูเรื่องสนุกที่นี่ ให้เขาไปสิ” คนที่เด็กโง่งมหมายถึงก็คือชิงเฟิงคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเพื่อจดบันทึกคำให้การ
หลี่มู่หัวเราะเยาะ “เจ้ารู้หนังสืองั้นหรือ เจ้าเขียนหนังสือเป็นไหมล่ะ เขียนบทความได้ไหม เจ้าจดบันทึกคำให้การได้หรือไม่?”
พูดยังไม่ทันจบ หมิงเยวี่ยพูดไม่ออก ได้แต่หันหลังเอามือปิดหน้าด้วยความอับอายพลางวิ่งออกจากศาลไปตามหมอ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้น องครักษ์ที่ส่งไปกลับมาหนึ่งคน รายงานด้วยสีหน้าสอพลอว่าวันนี้เถ้าแก่ร้านโอสถเทพค่อนข้างยุ่ง ไม่สามารถมาให้การได้ หากวันไหนมีเวลาค่อยว่ากัน…
หลี่มู่โมโหจนควันออกหู
“ไปบอกเขาว่าในหนึ่งก้านธูป หากไม่มาที่ศาล ข้าจะไปพังร้านยานั้นด้วยตัวเอง”
หลี่มู่กัดฟันกรอด
มารดาเจ้าสิ ยุ่งก็เลยไม่มางั้นรึ? ยังกล้าเสแสร้งต่อหน้าขุนนางเมืองอีก
สิ่งที่หลี่มู่ชอบมากที่สุดคือการแสร้งทำ สิ่งที่รับไม่ได้ที่สุดคือมีคนมาเสแสร้งต่อหน้าเขา
องครักษ์อับจนหนทาง ออกไปด้วยหน้าตาเศร้าหมอง
สิบกว่านาทีต่อมา หมิงเยวี่ยพาท่านหมอเคราแพะผู้หนึ่งเข้ามาในศาล เมื่อตรวจอาการจางหลี่ก็พบว่ามีอาการบาดเจ็บภายใน แต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ขอเพียงได้นอนพักรักษาตัวและกินยาตรงเวลาก็จะดีขึ้นภายในสามถึงห้าเดือน เด็กน้อยฉินเอ๋อร์กล่าวขอบคุณเป็นพันครั้งอยู่ด้านข้าง แล้วคุกเข่าโขกศีรษะคำนับท่านหมอ สร้างความสงสารแก่คนที่พบเห็น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา