หากรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ศรเขี้ยวหมาป่า
มือปราบสี่คนย่อตัวลงข้างกายหลี่มู่ ต่างยกกระบอกธนูที่เต็มไปด้วยธนูขนนกในมือขึ้นสูง
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมอง หยิบลูกธนูออกมา
สายธนูสั่นระรัวดุจเสียงกลอง
ท่ายิงธนูต่อเนื่องที่เขาใช้พุ่งไปราวกับพายุลมกรด เร็วจนถึงขีดสูงสุด ราวๆ สามอึดใจก็ยิงจนลูกศรทั้งสี่กระบอกหมดเกลี้ยง
ธนูหนึ่งกระบอกมีธนูขนนกยี่สิบดอก
กระบอกธนูสี่กระบอกก็เป็นลูกธนูแปดสิบดอก
เสียงร้องเจ็บปวดและคร่ำครวญดังมาจากทุกทิศ
เห็นเพียงจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่ใช้วิชาตัวเบาคิดจะหลบหนีต่างมีธนูปักหัวเข่าทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นสักคน พวกเขาถูกยิงเข้ากลางอากาศ ร่วงลงไปนอนบนพื้น เจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยว หนีไม่ไหวอีกแล้ว
หลี่มู่ชี้นิ้วนับอย่างจริงจัง ก่อนจะผิดหวังเล็กน้อย “ยิงเร็วเกินไป ยิงเบี้ยวไปสามดอก ยิงพลาดไปหนึ่งดอก…”
สามดอกที่ยิงเฉล้วนยิงไปที่ก้นของเจ้าอ้วนคนหนึ่ง
ส่วนหนึ่งดอกที่ยิงพลาดนั้นยิงข้ามหัวขอทานเฒ่าไปปักอยู่บนกำแพงหินของลานประลอง
ขอทานเฒ่ากัดฟันกรอด “เจ้าหนุ่มนี่ เจ้าจงใจแน่ๆ”
หลี่มู่หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร
ในยามนี้ จอมยุทธ์ยอดฝีมือหลายร้อยคนที่นั่นไม่มีใครกล้าหลบหนีแล้ว
ไร้หนทางหนี ทักษะการยิงธนูของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ร้ายกาจนัก
การยิงธนูที่ราวกับพายุคลั่งนำความกดดันมาให้ไม่น้อยไปกว่าฝ่ามือไร้เทียมทานก่อนหน้านี้เลย
คนที่พยายามหนีไม่มีใครหนีรอดสักคน
จอมยุทธ์ยอดฝีมือที่ถูกธนูยิงเข้าที่เข่าไม่อาจสำแดงวิชาตัวเบาได้เลย
หนีไม่รอดแน่แล้ว
ขัดขืนเล่า?
ก็ไม่กล้า
แม้แต่ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงและ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนยังโดนซัดสลบเหมือนกับบี้มด ซ้ำยังล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนเหล็ก หากพวกเขายังกล้าขัดขืน เกรงว่าจะกลายเป็นเนื้อสับเสียกระมัง?
ตอนนี้ยังมีเรื่องอะไรที่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ไม่กล้าทำอีก?
ด้วยเหตุนี้ ในที่แห่งนั้นถึงเกิดภาพที่หลายสิบปีมานี้หาได้ยากยิ่งในยุทธจักร ยอดฝีมือทั้งหลายยืนเข้าแถวอย่างไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย รอมือปราบของที่ว่าการอำเภอเดินมาล่ามโซ่ตรวนให้กับตน จากนั้นก็ใช้เชือกยาวมัดโยงกันไว้เหมือนตั๊กแตนเสียบไม้
พวกคนชั่วช้าที่ชอบฆ่าคน ปล้น วางเพลิงเป็นประจำในยุทธภพ เวลานี้เชื่องเรียบร้อยไม่ต่างจากกระต่ายกินแครอท
หลี่มู่พลันนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้
“คนไหนชื่อฉินหย่ง?” เขามองไปยังกลุ่มเชลยพรรคมังกรฟ้า
ท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มที่สวมเกราะอ่อนมังกรฟ้าสีแดงสดหลังแบกกระบี่เล่มโตหน้าเปลี่ยนสีทันที
เขาก็คือฉินหย่ง ลูกศิษย์คนแรกของ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยน
ฉินหย่งผู้นี้คือลูกศิษย์มังกรเงิน นับเป็นยอดฝีมือในบรรดาคนพรรคมังกรฟ้าครั้งนี้ หลายวันที่ผ่านมากำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นอย่างมาก แต่ระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่เขาเห็นท่าไม่ดี ครั้นตะโกนคำพูดติดปากอยู่ในฝูงคนแล้วก็หลบหนีไปไกล ดังนั้นจึงไม่อยู่ในรายชื่อคนที่ถูกหลี่มู่ซัดจนสลบ
สายตาของหลี่มู่เฉียบคม แค่มองไปก็รู้สถานการณ์
“เจ้า…ออกมา” เขาพูดขึ้น
ฉินหย่งหน้าเปลี่ยนสีไม่รู้กี่ตลบ พูดขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน “ใต้ ใต้ ใต้…ใต้เท้า ท่านเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
“ใต้ ใต้ ใต้…ใต้บ้านเจ้าสิ” หลี่มู่พูดอย่างโมโห “สารรูปอย่างเจ้ายังกล้ามาวางท่าในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ของข้า เที่ยวตัดแขนคน ซ้ำยังทำร้ายลุงเหลียงร้านชา?”
ฉินหย่งหน้าซีดเผือดทันที
หลายวันก่อนนี้เขาวู่วามไปตามอารมณ์ ตัดแขนจอมยุทธ์หนวดเคราครึ้มคนหนึ่งที่พูดจาเลื่อนเปื้อนตรงร้านชาริมถนน และยังซัดฝ่ามือทำร้ายตาแก่ร้านชาที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียบาดเจ็บสาหัส
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ สำหรับฉินหย่งก็เป็นแค่ตัวชูรสในชีวิตเท่านั้น
แต่ว่าตอนนี้หลี่มู่พูดออกมา เขาก็รู้ทันทีว่าซวยแน่แล้ว
“วะ…วันนั้นผู้น้อยดื่มสุรามึนเมา สติเลอะเลือน…” ฉินหย่งพยายามอธิบายติดๆ ขัดๆ
เห็นได้ชัดว่าแก้ตัว
หลี่มู่ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับพวกขี้ขลาดเช่นนี้อีก
เคร้ง!
ดาบเล่มหนึ่งร่วงลงตรงหน้าฉินหย่ง
“ตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งเสีย”
หลี่มู่ไม่อ้อมค้อม
“ข้า…ขุนนางเมืองหลี่ ไว้ชีวิตด้วยเถิด…” ฉินหย่งตกใจจนเข่าอ่อนลงไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าซีดขาว โขกศีรษะอ้อนวอนสุดชีวิต ความเจ็บปวดและความน่าสังเวชจากการแขนขาด เขาไม่อาจรับมันได้
หลี่มู่ไม่ขยับแม้แต่น้อย
วันนั้นตอนที่ฉินหย่งตัดแขนชายหนุ่มเคราครึ้ม ช่างเหี้ยมโหดอำมหิตยิ่งนัก ทั้งยังทำร้ายลุงเหลียงร้านชาบาดเจ็บสาหัส วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่มีขอบเขต ในตอนนั้นเขาเคยคิดถึงความชั่วช้าและเหี้ยมโหดของตนหรือไม่?
สิ่งที่ตนไม่ปรารถนา ก็จงอย่าได้กระทำต่อผู้อื่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา