อ่านสรุป บทที่ 63 ความฝันวีรบุรุษ จาก จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet
บทที่ บทที่ 63 ความฝันวีรบุรุษ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน จอมศาสตราพลิกดารา ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
จิตใจของทั้งสองในตอนนี้กระสับกระส่ายนัก
เพราะมัจจุราชหลี่มู่เรียกพวกเขามายังห้องทรมานเพียงลำพัง
ห้องทรมานเอาไว้ใช้ทำอะไร?
ก็เอามาทรมานเค้นข้อมูลจากนักโทษอย่างไรเล่า
เข้ามาในที่แบบนี้ จะมีเรื่องดีอะไรได้?
พูดตามตรง เวลาก่อนหน้านี้หนึ่งถ้วยชา ในยามที่พวกมือปราบกระชากพวกเขาทั้งสองออกมาจากห้องขัง ถูกลากเดินไปยังห้องทรมาน สีหน้าท่าทางเศร้าสลดและหวาดกลัวของทั้งคู่ช่างเหมือนกับนักโทษประหารที่เดินไปยังลานประหารไม่มีผิด
จางหนิงยังดีหน่อย ภายใต้การจับจ้องจากนักโทษจอมยุทธ์พวกเดียวกันมากมายเช่นนี้ ถึงแม้แข้งขาจะสั่นอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียก็ยังนับว่ากล้าหาญ ไม่พูดอะไรสักคำ
แต่หวางชงนั้นกลัวจนร้องไห้จ๊าก ร้องอ้อนวอนกับเหล่ามือปราบไม่หยุด น้ำมูกน้ำตาไหลพราก นึกว่าจะถูกจับไปทรมานจากเครื่องทรมานต่างๆ ตกใจเสียจนฉี่ราดจริงๆ แล้ว
แต่ว่า หลังจากเข้าไปในห้องทรมานจริงๆ แล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆ สงบสติลงเมื่อพบว่าเรื่องราวอาจจะไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้
เครื่องทรมานสีดำมืดโหดเหี้ยมทั้งหมดวางอยู่อีกด้านหนึ่ง
กลางห้องทรมานมีพื้นที่ว่างเว้นอยู่
หลี่มู่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ปีศาจในใจพวกเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมยิ้มตาหยีใบหน้าอ่อนโยน
“ ‘ดาบนางแอ่น’ จางหนิง ‘ทวนไม่หวนคืน’ หวางชง?”
หลี่มู่ถือบัญชีรายชื่อ มองไปยังคนทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่กล้าหาญเท่าใด เวลานี้ถูกหลี่มู่มองปราดเดียวขาก็แข็งไปหมด ดังนั้นจางหนิงและหวางชงจึงไม่ได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ ต่างพยักหน้าหงึกๆ อย่างไม่เอาไหน
ข้างๆ ทั้งคู่มีทหารองครักษ์เดินมามอบดาบให้จางหนิง มอบทวนให้หวางชง
“เจ้าสองคนสู้กัน คนที่ชนะจะได้ออกไปอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน”
หลี่มู่มองคนทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
แต่น้ำเสียงจริงแท้แน่นอน
จางหนิงยังลังเลอยู่บ้าง
แต่หวางชงหลังจากได้ยินก็กระชากเอาทวนมาโดยไม่ถามสักคำ ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร มือสะบัดเพลงทวนพุ่งไปยังลำคอและหน้าอกของจางหนิง
เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จางหนิงเองก็ไม่ลังเลอีกแล้ว
เขาวูบไหวตัวหลบไป รับดาบมา แล้วตั้งท่า ‘รัตติกาลศึกแปดทิศ’ โจมตีกลับ
เคร้ง เคร้ง!
สะเก็ดไฟปะทุขึ้นกลางห้องมืด
ยอดฝีมือระดับสองทั้งสองเริ่มสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางห้องมืด
หลี่มู่พูดเอาไว้ว่าคนที่มีชีวิตอยู่สามารถออกไปได้ ทำให้ทั้งสองคนไม่เหลือโชคอีกแล้ว อีกทั้งสองสำนักแต่เดิมก็เป็นศัตรูคู่อาฆาต เมื่อสู้กันขึ้นมาย่อมไม่ต้องพะวงอะไร ‘เพลงดาบนางแอ่น’ และ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ในมือของพวกเขาถูกสำแดงจนถึงขีดสูงสุด
เงาร่างของทั้งสองแปลงเป็นเงาทวนและประกายดาบสู้กันอุตลุต
บรรยากาศเย็นยะเยือกชวนขนลุก
หลี่มู่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แทะเมล็ดแตงไปดูไป
เขาดูอย่างเพลิดเพลินใจ
ความหวังที่จะมีชีวิตรอดจากไปและความหวาดกลัวต่อความตาย ทำให้พลังทั้งหมดในตัวของยอดฝีมือระดับสองทั้งคู่ปะทุออกมา จางหนิงและหวางชงพูดได้ว่าต่างสำแดงทุกกระบวนท่า พยายามสุดชีวิต ไม่เก็บกักเอาไว้แม้แต่น้อย
การต่อสู้เช่นนี้อันตรายและทุ่มสุดชีวิตยิ่งกว่าการประลองบนเวทีความเป็นความในตายตอนนั้นเสียอีก
ประมาณหนึ่งถ้วยชาหลังจากนั้นจึงรู้ผลแพ้ชนะ
จางหนิงฟันทวนยาวในมือของหวางชงหัก ดาบพาดอยู่บนคอของคู่ต่อสู้
ทว่าดาบนี้ไม่ได้ฟันลงไป
หวางชงหน้าซีดเผือด สั่นเทิ้มไปทั่งร่าง
หลี่มู่โบกมือ
องครักษ์สองคนเดินมาพาผู้แพ้หวางชงที่หน้าซีดเผือดออกไปอีกประตูหนึ่งด้านข้าง
ครืด ตึง!
ประตูเหล็กถูกปิดลง
“หวางชงจะถูกประหารหรือไม่?”
จางหนิงจ้องหลี่มู่
หลี่มู่ยืนขึ้นยักไหล่ กล่าวว่า “อาจจะโดนหรืออาจจะไม่ ดูอารมณ์ของข้าแล้วกัน”
เขาเดินเข้าไปใกล้ ปลายเท้าแตะงัดทวนยาวที่ร่วงอยู่บนพื้นมาถือไว้ จากนั้นสะบัดไป สำแดงท่าทวนหลอกล่อทั้งเก้าออกมา เป็นท่าที่หนึ่งของ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ความงดงามแม่นยำเหนือชั้นกว่าหวางชงเสียอีก
แสงทวนคืบคลานเข้าใกล้จางหนิง
“เจ้า…” สีหน้าของจางหนิงเปลี่ยนไปทันที “พูดจาไร้สัตย์ เจ้าพูดเอาไว้แล้วว่าผู้ที่ชนะจะออกไปได้อย่างปลอดภัย”
ขณะเขาพูด ดาบพลางโจมตีกลับไปโดยสัญชาตญาณ
หลายกระบวนท่าหลังจากนั้น จางหนิงค่อยๆ สงบลงบ้าง
เพราะเขาพบว่าขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ได้สำแดงพลังแบบมุ่งทำลาย แต่เพลงทวนที่อีกฝ่ายใช้คือ ‘เพลงทวนไม่หวนคืน’ ที่หวางชงสำแดงก่อนหน้านี้ ท่วงท่ายอดเยี่ยม ช่ำชองกว่าหวางชงที่ฝึกฝนวิชาทวนชุดนี้มาเจ็ดแปดปีเสียอีก อีกทั้งรอยต่อของกระบวนท่ายิ่งปราดเปรียวและไปตามอารมณ์ขึ้นหลายส่วน
จางหนิงเตรียมโต้กลับ
แต่เมื่อสำแดง ‘เพลงดาบนางแอ่น’ จบ ครั้งนี้คนที่แพ้พ่ายคือเขา
ปลายทวนยาวแตะอยู่ที่ลำคอของจางหนิง
ส่วนดาบของเขา แม้แต่กระบวนท่าสุดท้ายก็ยังไม่สมบูรณ์
กระบวนท่าเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน การปะทะของอาวุธครั้งสุดท้ายเหมือนกัน แต่สุดท้ายคนที่ได้รับชัยชนะกลับแตกต่าง
เหงื่อเย็นไหลลงจากหน้าผากและแผ่นหลังของเขา
แต่หลี่มู่ไม่ได้แทงทะลุคอหอยของจางหนิงจริงๆ
หลี่มู่โยนทวนกลับไปยังชั้นวางอาวุธข้างกำแพง จากนั้นยื่นมือออกมา มือปราบคนหนึ่งยื่นดาบมาให้
ครั้นดาบอยู่ในมือ หลี่มู่ไม่พูดอะไร รุกโจมตีไปอีกครั้ง
จางหนิงถูกบีบจนต้องโจมตีกลับอีกครั้งหนึ่ง
แต่ไม่นาน ความตื่นตระหนกในใจเขาก็ยากจะเก็บซ่อนเอาไว้
เพราะดาบที่หลี่มู่สำแดงคือ ‘เพลงดาบนางแอ่น’ ที่เขาฝึกฝนมาสิบกว่าปี
แสงดาบแวบวาบ
“ใต้เท้ากล่าวว่าเจ้าไม่มีความผิดอะไรในอำเภอขาวพิสุทธิ์ ตามกฎหมายของจักรวรรดิ ไม่เพิ่มบทลงโทษ สามารถไปได้แล้ว” เมื่อมือปราบหนุ่มคนหนึ่งพูดถึงหลี่มู่ ใบหน้าก็ปรากฏความภาคภูมิใจและสงบเยือกเย็น เขามองจางหนิงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าต้องไปจากเมืองภายในหนึ่งก้านธูป ใต้เท้ากล่าวไว้ว่าช่วงระยะนี้เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ต้อนรับคนในยุทธจักร”
จางหนิงพยักหน้าอย่างไร้ชีวิตเหมือนหุ่นกลไก
เขาบอกไม่ได้เช่นกันว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไร
แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันนี้ สำหรับเขาแล้วสั่นคลอนเขาอย่างรุนแรง
เขาก้าวขาออกไปราวกับหุ่นไม้
เดินไปสามสี่ก้าวเขาพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาถาม “หวางชง…ยอดฝีมือสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ที่พาออกมาจากประตูเหล็กเมื่อครู่นี้ก็ถูกปล่อยตัวไปแล้ว?”
มือปราบหนุ่มพยักหน้า “ปล่อยไปแล้ว แต่ว่าหวางชงกระทำความผิดในเมือง ถึงแม้จะเป็นความผิดเล็กๆ แต่ก็ต้องไปรับบทลงโทษ หลังจากจ่ายค่าปรับมากพอก็จากไปแล้ว”
เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย
ที่แท้หวางชงก็ไม่ตาย
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไมจางหนิงพลันโล่งใจ
ก่อนหน้านี้ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่พูดไว้ว่า ‘ผู้ชนะจากไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน’ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้พูดว่าผู้แพ้จะต้องตาย แต่ตอนนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น พวกเขาก็คิดโยงไปโดยไม่รู้ตัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น คิดว่าผู้ชนะรอดผู้แพ้ตาย
ตอนนี้มาคิดๆ ดูในช่วงสุดท้าย เสียงหัวเราะลั่นของขุนนางเมืองหลี่มู่นึกให้ละเอียดแล้วที่แท้ก็เล่นตลกเสียมากกว่า ไม่ได้เหี้ยมโหดคลุ้มคลั่งอย่างที่เขาคิด
จางหนิงเงยหน้ามองท้องฟ้า
ฟ้าใสกระจ่างนัก
แสงอาทิตย์ส่องสว่าง
อากาศอบอุ่น
‘บางทีอาจถึงเวลาที่ข้าจะถอนตัวจากพรรคมังกรฟ้าแล้ว…’
ใจของเขาเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
‘สิบปีมานี้ สังหารปล้นชิง ชื่อเสียงจอมปลอม มีแต่ทุ่มเทสุดชีวิตให้คนอื่น แต่ก็จำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ข้ามีความฝันวีรบุรุษอยากเป็นจอมยุทธ์ผดุงคุณธรรมเช่นกัน เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอาศัยอำนาจรังแกผู้คนได้?’
ครั้งนี้จางหนิงเหงื่อไหลซึมขึ้นมาจริงๆ
เขาย้อนคิดทบทวนและสั่นสะท้านจากในจิตวิญญาณ
‘ปณิธานน่ะหรือ
ปณิธานของข้า ข้าทิ้งมันไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
ขณะรู้แจ้งในทันที จู่ๆ เขารู้สึกอยากร้องไห้ยิ่งนัก
‘แสงดาบเงากระบี่ ท่องไปในยุทธจักร จับดาบผดุงคุณธรรมทั่วหล้า อาจเป็นเส้นทางสำหรับอัจฉริยะชั้นยอดเช่นขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่กระมัง ส่วนข้า…ยังห่างชั้นอีกไกลนัก ไยจึงต้องสู้แย่งชิงชื่อเสียงในยุทธจักรกันด้วยเล่า?’
ในใจของจางหนิงเกิดความคิดที่จะถอนตัว
ทางที่เดินผิดยังไม่นับว่าไกล รู้แล้วว่าวันนี้คือสิ่งที่ถูกต้องและอดีตคือสิ่งที่ผิดพลาด
เพียงคิดเช่นนี้ เขาก็พลันรู้สึกว่าฟ้าดินกว้างขวาง รู้สึกโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“สหายผู้นี้ หากทำได้ละก็ ฝากไปแจ้งแก่ใต้เท้าที ในยุทธจักรนับจากนี้ไม่มี ‘ดาบนางแอ่น’ จางหนิงผู้นี้อีกต่อไป”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าจากไปท่ามกลางแสงตะวัน
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา