หลี่มู่หัวเราะน้ำตาเล็ด
“ขี้ขลาด”
เขาชี้ไปยัง ‘กระบี่มังกรเมฆา’ มู่เหรินหลงที่คุกเข่าอ้อนวอนอยู่บนพื้น
พูดตามตรง เขาคิดไม่ถึงว่ามู่เหรินหลงที่เป็นหนึ่งในสี่กระบี่ไวในพายัพยุทธภพ เป็นพี่น้องร่วมสาบานของตงฟางเจี้ยน ชิวจื่อหาน และเกาเซิ่งเผิง จะขี้ขลาดได้ถึงเพียงนี้ แค่ลากเข้ามาในห้องทรมานก็คุกเข่าอ้อนวอนอกสั่นขวัญหาย
พวกมือปราบที่อยู่ในห้องมืดมองไปยังมู่เหรินหลง ใบหน้าฉายแววดูถูก
ก่อนหน้าวันนี้ คนเหล่านี้ยังเป็นจอมยุทธ์ในใจของพวกเขา เป็นผู้สูงส่ง เป็นคนที่พวกเขาอิจฉาและอยากจะเป็น
แต่ตอนนี้เหล่ามือปราบพลันรู้สึกว่าจอมยุทธ์อะไรที่ว่าก็แค่คนธรรมดาทั่วไป ช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ผู้สูงส่งที่ท่องไปในยุทธจักรและองอาจกล้าหาญในจินตนาการของพวกเขาลิบลับ
และคนเช่นมู่เหรินหลงยิ่งเทียบไม่ได้แม้แต่คนธรรมดาเช่นพวกเขา
‘กระบี่แจ้งใจ’ เกาเซิ่งเผิงที่ยืนอยู่ข้างมู่เหรินหลงใบหน้าฉายความอับอายออกมา แต่เขากลับก้มหน้า ไม่ได้ประณามมู่เหรินหลงแต่อย่างใด
เพราะในใจเขาก็หวาดกลัวอย่างมากเช่นกัน
ก่อนหน้าเขาและมู่เหรินหลงจะเข้ามาที่นี่ ในช่วงเวลาสามชั่วยามที่ผ่านมา คนในยุทธจักรที่ถูกขังอยู่ในคุกของที่ว่าการ มียอดฝีมือขั้นรวมปราณโดนลากเข้าไปในห้องทรมานห้าสิบหกคนแล้ว ทั้งยังไม่มีใครได้กลับออกมา
จอมยุทธ์ทั้งหลายในคุกได้ยินเสียงคำรามและเสียงต่อสู้รางๆ ผ่านช่องประตูห้องทรมาน เสียงคร่ำครวญน่าสังเวชต่างๆ ก็เล็ดลอดออกมาจากรูกุญแจเช่นกัน
เสียงเหล่านี้ได้ยินรางๆ ไม่ชัดเจนนัก
แต่ก็มากพอให้คนในยุทธจักรด้านนอกคิดเชื่อมโยง ทั้งยังหวาดกลัวราวกับตกอยู่ในห้วงหุบเหว
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
ยิ่งกลัวก็ยิ่งอดคิดไม่ได้
ความกลัวขยายใหญ่ขึ้นท่ามกลางจินตนาการ และกลืนกินทุกคนเข้าไป
ทุกครั้งที่มีคนในห้องขังถูกลากออกไปจากกลุ่ม แม้แต่ผู้ที่ใจเด็ดเดี่ยวยังสั่นสะท้าน มีคนสั่งเสียกับสหายที่สนิทสนม มีคนตะโกนด่าหลี่มู่ และยิ่งมีคนดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ตกใจกลัวจนขวัญเสีย ร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งว่าโลกจะแตก
ในบรรดาคนที่สภาพน่าอับอาย มีหลายคนที่ลือชื่อเรื่องฝีมือดุร้ายเหี้ยมโหดในยุทธภพแถบนี้
ต่อหน้าความตาย คนพวกนี้สติแตกเร็วกว่าผู้อื่นเสียอีก
ดังนั้น เกาเซิ่งเผิงถึงเข้าใจสภาพน่าอับอายของมู่เหรินหลงในยามนี้เป็นอย่างดี
อันที่จริง หากไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีและสติเสี้ยวสุดท้ายที่อยู่ลึกสุดในใจทำให้เขายืนขาสั่นอยู่ได้ เกรงว่าเขาคงคุกเข่าร้องอ้อนวอนไปแล้ว
หลี่มู่นั่งอยู่ข้างหลังกองคดี แทะเมล็ดกวยจี๊ กินแตงโม ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เขาส่งสายตาให้
มีมือปราบโยนกระบี่ยาวสองเล่มไปตรงหน้า ‘กระบี่แจ้งใจ’ และ ‘กระบี่มังกรเมฆา’
“คนชนะ รอด”
หลี่มู่พ่นเม็ดแตงโมออกมาสองเม็ดก่อนพูดขึ้น
มู่เหรินหลงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นพุ่งมาราวกับสุนัขบ้า แย่งกระบี่ไปได้เล่มหนึ่งแล้วก็พุ่งไปยังเกาเซิ่งเผิงอย่างไม่ปรานี
และแทบจะในเวลาเดียวกัน เกาเซิ่งเผิงก็แย่งกระบี่เล่มหนึ่งไปได้เช่นกัน
เคร้ง!
คมกระบี่ปะทะโจมตี สะเก็ดไฟสาดกระจาย
“เจ้ากล้าลงมือกับข้ารึ?” มู่เหรินหลงตะลึงไป ก่อนจะตะคอก “ข้าเป็นพี่สามของเจ้า เจ้ากลับ…”
“หากข้าไม่ลงมือ จะยืนนิ่งปล่อยให้คนขี้ขลาดรักตัวกลัวตายเช่นเจ้าสังหารหรืออย่างไร?” เกาเซิ่งเผิงหัวเราะเสียงเย็น
เพื่อคำว่า ‘รอด’ จากปากของหลี่มู่ คนทั้งสองฉีกคำสาบานทิ้งไป ต่างฝ่ายต่างเสียดสี ยังเหมือนพี่น้องกันเสียที่ไหน โหดเหี้ยมดุร้ายเสียยิ่งกว่าคู่แค้น แทบจะแทงอีกฝ่ายให้เป็นรูพรุนเสียเดี๋ยวนั้น
ทั้งสองล้วนเป็นมือกระบี่ไวมีชื่อในยุทธจักรทิศพายัพ ใช้ความเร็วสู้กับความเร็ว ภายในห้องมืด เงากระบี่กวาดไปมาราวกับสายฟ้า ปราณกระบี่ถาโถม ลำแสงแลบแปลบปลาบ เสียงกระทบของโลหะที่ถี่ยิบราวฟ้าฟาดดังกระทบหูของทุกคนที่อยู่ในห้องมืด
การต่อสู้ดุเดือดอย่างมาก
ไม่นานนัก ร่างของมู่เหรินหลงและเกาเซิ่งเผิงต่างได้รับบาดเจ็บ
ทั้งสองสาบานตนเป็นพี่น้อง ปกติแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไม่ขาด รู้วิชากระบี่ของกันและกันเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงสู้กันอย่างดุเดือดยิ่ง ต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ แต่ก็หลบบาดแผลถึงแก่ชีวิตจากกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ เลือดอาบทั้งตัวเป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น
‘เพลงกระบี่มังกรเมฆาผงาด’ ของมู่เหรินหลง และ ‘เพลงกระบี่แจ้งใจ’ ของเกาเซิ่งเผิงต่างเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ขั้นสูงสุดในบรรดาเพลงกระบี่ระดับแปด ล้ำลึกกว่าเคล็ดวิชาที่จอมยุทธ์พวกก่อนหน้านี้สำแดงมากนัก
หลี่มู่แม้แต่แตงโมก็วางไว้อีกทางหนึ่งไม่กินแล้ว เม็ดกวยจี๊ก็ไม่แทะแล้วเช่นกัน แต่มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ถึงแม้วันนี้ระหว่างการต่อสู้บนเวทีประลอง หลี่มู่จะใช้ฝ่ามือเดียวซัดมือกระบี่ไวทั้งสองจนสลบ แต่ตอนนั้นเป็นเพราะความเร็ว พลัง และปฏิกิริยาตอบสนองของเขาสามารถเอาชนะพวกนั้นได้ ไม่ได้หมายความว่าความเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ ระดับทฤษฎี และการฝึกฝนเคล็ดวิชาของหลี่มู่จะแข็งแกร่งกว่าสองคนนี้
ข้อได้เปรียบของหลี่มู่อยู่ที่พลัง ความเร็ว และปฏิกิริยา
ส่วนข้อเสียเปรียบอยู่ที่กลยุทธ์การต่อสู้
หากเจอกับศัตรูที่มีพละกำลังและความเร็วในระดับเดียวกัน เช่นนั้นหลี่มู่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
สำหรับเรื่องนี้เขารู้เป็นอย่างดี
อีกทั้งตอนที่อยู่บนโลก ซินแสเฒ่าก็บอกว่าทักษะการต่อสู้สำคัญมากไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เมื่อทักษะฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งก็ใกล้เคียงกับกฎเกณฑ์และหลักการ
นี่ก็คือ ‘ทักษะเข้าถึงเต๋า’ ที่พูดกัน
ต่อให้เป็นเซียนที่ซินแสเฒ่าพูดถึงต่างก็ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาก วิชาเซียนและเวทต่างๆ สามารถเพิ่มกำลังรบให้กับเซียนได้ เป็นหนทางดีที่สุดแบบที่ใช้ความอ่อนแอชนะความแข็งแกร่ง
ความคิดของหลี่มู่นั้นเรียบง่ายมาก
เขาต้องเริ่มจากศูนย์ จากไม่มีเป็นมี เพื่อฝึกฝนเส้นทางแห่งทักษะการต่อสู้ของตน
ขั้นตอนนี้แน่นอนว่าต้องมีทั้งดูตัวอย่าง มีทั้งลอกเลียนแบบ จะต้องสะสมให้ได้มากพอ และเปลี่ยนจากเรียบง่ายเป็นซับซ้อน จากตื้นสู่ลึก จึงจะเปลี่ยนจากปริมาณเป็นคุณภาพได้ นี่เป็นหลักปรัชญาพื้นฐานที่สุดในวิชาปกครองของชั้นมัธยมต้น
ดังนั้นเขาจึงคุมขังจอมยุทธ์ยอดฝีมือเอาไว้มากมายเช่นนั้น
ด้านหนึ่งแน่นอนว่าเพื่อข่มขวัญตักเตือนพวกเขา ให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนที่ตนเองทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อศึกษาเรียนรู้เคล็ดการต่อสู้ของคนเหล่านี้จากวิธีนี้ เติมเต็มมุมมองด้านวิถียุทธ์ของตนเอง ยกระดับและสร้างวิถีการฝึกวรยุทธ์ที่เป็นของตัวเองขึ้นมา
นี่ค่อนข้างคล้ายกับนิยายกำลังภายในเรื่อง ‘กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร’ ของท่านกิมย้งบนโลก เตี๋ยเมี่ยงนางเอกของเรื่องขังยอดฝีมือจากสำนักทั้งเจ็ดไว้ บังคับให้พวกเขาถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้ ในความเป็นจริงลี่มู่ได้รับอิทธิพลมาจากตอนนี้ของนิยาย
และความจริงพิสูจน์แล้วว่า วิธีการนี้เป็นวิธีที่ถูกต้อง
จากการสังหารต่างวิธีของแต่ละคน ความคิดและความเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ในหัวของหลี่มู่กำลังยกระดับอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา