จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 66

บทที่ 66 ยัดเยียดข้อหาโยนความผิด
ProjectZyphon
รีดเลือดถลกหนังเลาะเส้นเอ็น?

ถึงแม้หลี่มู่จะร้อนรนราวไฟเผา แต่ได้ยินคำนี้ก็เกือบจะหัวเราะออกมา

นี่จะต้องแค้นกันถึงขั้นไหนเนี่ย

อีกอย่าง โลกใบนี้มีปีศาจจริงๆ หรือ?

ทำไมหมิงเยวี่ยถูกเข้าใจว่าเป็นปีศาจได้

อืม แต่คิดๆ ดูหลายวันที่ผ่านมานี้ เรื่องราวประหลาดบางอย่างที่เกิดกับหมิงเยวี่ย ปริมาณอาหารอันน่าตกใจที่สวาปามเข้าไป ทั้งยังความเร็วปานลมกรดนั่น แล้วก็ยังมี…สรุปแล้ว ถ้าบอกว่าแม่โลลิน้อยคนนี้เป็นปีศาจ เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด

แต่ว่าต่อให้เป็นปีศาจก็เป็นปีศาจที่ดีนะ

นักพรตตาบอดจากไหนกัน ช่างไม่มีตาจริงๆ…เอาเถอะ คนตาบอดก็เหมือนว่าจะไม่มีตาจริงๆ นั่นแหละ กล้ามาถล่มถิ่นของข้ามนุษย์จากต่างดาวคนนี้ มันจะโอหังเกินไปหน่อยกระมัง

หลี่มู่พุ่งออกไปจากคุก

เวลากระชั้นชิด เขาไม่ทันจะได้ตื่นตะลึง มือหนึ่งคว้าหลังหม่าจวินอู่แล้วใช้วิชาตัวเบา พาหัวหน้าองค์รักษ์กระโดดไปบนต้นไม้เก่าแก่และยอดหลังคา ร่างพุ่งทะลวงไปดั่งอัสนีบาต ความเร็วเพิ่มถึงขีดสุด

หม่าจวินอู่รู้สึกแค่ว่าหูอื้ออึง ทิวทัศน์เบื้องหน้าล้วนพร่าเลือน

ลมกรรโชกตีรับหน้า เขาอ้าปากโดยไม่รู้ตัว ทำให้ในปากเต็มไปด้วยลมเย็น…

หม่าจวินอู่อึ้งไปเล็กน้อย

มนุษย์เร็วได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นี่มันเหาะเหินเดินอากาศแล้วกระมัง?

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเกินกว่าสามัญสำนึกของหม่าจวินอู่ไปมาก

แต่ว่าเรื่องเช่นนี้เกิดกับใต้เท้าขุนนางเมือง เหมือนจะไม่ได้เข้าใจยากสักเท่าไหร่

หม่าจวินอู่ในตอนนี้คือผู้เลื่อมใสคลั่งไคล้ของหลี่มู่โดยแท้

……

“เอ๋ นั่นคืออะไร?”

ในเมืองอำเภอ บนโรงเตี๊ยมงดงามวิจิตรหกชั้นที่มีดอกกล้วยไม้บานสะพรั่งไปทั่ว เด็กชายที่สวมชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองสดใส บนหน้าผากมีหยกงามทรงกลมคาดประดับ แต่เดิมกำลังขีดๆ เขียนๆ อยู่ จู่ๆ ก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ

เพราะเขาเห็นลำแสงสายหนึ่ง

เป็นแสงสว่างสีขาว

เจิดจ้าวูบไหว

ท่ามกลางท้องฟ้าราตรีอันมืดมิด แสงสีขาวเจิดจ้าประดุจสายฟ้าฟาดผ่าลงมาจากที่ไกลๆ ทุกครั้งที่กะพริบจะข้ามผ่านไปเป็นระยะเกือบสามสิบจั้ง รวดเร็วจนถึงขีดสูงสุด

ไม่นานนัก สายฟ้าสีขาวก็ใกล้เข้ามา

“อะไร? นั่นมัน…เหมือนจะเป็น…คนอย่างนั้นรึ?”

เด็กชายเห็นชัดเจนแล้ว เขาอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง

เขาขยี้ตา

เป็นไปได้อย่างไร?

เหตุใดจึงมีจอมยุทธ์ที่เร็วได้ถึงระดับนี้ นี่มันวิชาตัวเบาอะไรกัน?

วิชาตัวเบาระดับตำนาน?

ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เล็กๆ นี่ มียอดฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ท่านพี่…มาดูเร็วเข้า มียอดฝีมือกำลังทะยานอยู่กลางฟ้า”

เด็กชายร้องเรียกเสียงดัง

แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็พบว่าพี่สาวและอาจารย์หวางมาอยู่ข้างหลังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว ตอนนี้กำลังมองไปยังแสงอัสนีสีขาวที่อยู่ไกลลิบสายนั้น

“เป็นเขา? ขุนนางเมืองน้อยคนนั้น…”

ในดวงตาของอาจารย์หวางมีประกายดาวหมุนวน

หลังจากมองจนชัด ใบหน้าของเขาฉายแววประหลาดใจ

ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเป็นหญิงสาววัยแรกแย้มนางหนึ่ง

สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงชาววังตัวยาวสีเหลือง บนกระโปรงและรอบอกปักลายหงส์สีคราม คิ้วตางดงาม ผิวขาวราวหยก รูปโฉมเลิศล้ำ ท่าทางสงบเยือกเย็น แต่ท่ามกลางความเงียบกลับมีท่วงท่าสูงส่ง บุคลิกเย็นชาทรงอำนาจ

นางมองไปเพียงแวบเดียวก็ดึงสายตากลับมา

“ไม่วอกแวกไปกับวัตถุภายนอกจึงจะเก็บใจที่ว้าวุ่นได้ สมาธิคือเขาสูงหนักแน่นไม่ไหวเอน ใจคือวารีหลั่งไหลไม่อยู่นิ่ง…เจิ้งเอ๋อร์ การบ้านวันนี้เจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง?” เสียงของหญิงสาวอ่อนโยนนุ่มนวล มีกลิ่นอายหวานละมุน แต่ทรงอำนาจยิ่งเช่นกัน

เด็กชายท่าทางอายุไม่ถึงสิบขวบคล้ายกับหญิงสาวอยู่หกส่วน คิ้วตาฉลาดปราดเปรื่อง ท่าทางซุกซน แต่เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวหญิงสาวผู้นี้อยู่บ้าง ได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้างุด “พี่หญิง ใกล้จะเสร็จแล้ว”

“ดี ทำให้เสร็จภายในหนึ่งก้านธูป หลังจากนั้นฝึกฝน ‘วิชาหยกจรัส’ ข้าจะให้ชิงเอ๋อร์เป็นคนคอยคุมเจ้า”

หญิงสาวพูดจบก็หมุนกายจากไป

เด็กชายแลบลิ้นทำหน้าขื่นขม

ขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงด้วยใบหน้าทุกข์ระทม จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย นอนพังพาบลงบนโต๊ะ แล้วขีดๆ เขียนๆ บรรยายอะไรสักอย่างบนกระดาษเจวียนจื่อ[1]สีขาวต่อไป

อาจารย์หวางที่สวมหมวกบัณฑิตและมีใบหน้าซูบผอมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนหมุนตัวจากไปตามหลังหญิงสาว

ชั้นหก

กลางทางเดิน

อาจารย์หวางยิ้มพลางเอ่ยปากขึ้น “องค์หญิง ถึงแม้ท่านจะสวมชุดสามัญชนมาเที่ยวชมบ้านเมือง แต่อย่างไรเสียก็ต้องอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ช่วงระยะหนึ่ง ให้ข้าส่งคนไปแจ้งขุนนางเมืองให้เขาเตรียมตัวดีหรือไม่”

“ไม่ต้อง”

หญิงสาวปฏิเสธข้อเสนอนี้ทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามา

“ชาวบ้านลือกันว่าช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่น้อย วันนี้มาถึงข้าก็ให้คนไปสืบมาแล้ว อันที่จริงขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์คนนี้เป็นคนประหลาดแต่มีความสามารถ บางทีท่านอาจจะใช้งานได้” อาจารย์หวางไม่คิดยอมแพ้ พูดให้ชัดออกไปเลย

ประโยคแรกของเขาก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็คือความหมายนี้นี่เอง

แต่ว่าพูดค่อนข้างคลุมเครือก็เท่านั้น

“อาจารย์หวาง ข้าเข้าใจความหวังดีของท่าน แต่ว่าครั้งนี้พวกเราแค่กลับบ้านเกิดไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เรื่องในยุทธจักรข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย” หญิงสาวรูปร่างอรชร ฝีเท้ามั่นคง พูดด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น

“ข้ารู้ ข้ารู้…” อาจารย์หวางหัวเราะ พูดขึ้นว่า “แต่เซ่นไหว้บรรพบุรุษก็ไม่ขัดขวางการมองหาผู้มีความสามารถนะพ่ะย่ะค่ะ ขุนนางเมืองน้อยคนนี้ความสามารถใช้ได้เลยทีเดียว เมื่อครู่ท่านก็เห็นแล้ว วิชาตัวเบาของเขาน่าตกใจนัก จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากเอามาใช้ให้เหมาะสม…”

เขาโน้มน้าวอย่างตั้งใจ

หลายปีที่ผ่านมานี้ องค์หญิงแบกรับความกดดันไว้มากเกินไป สหายอุดมการณ์เดียวกันทั้งหลายปลิดปลิวหายไปท่ามกลางพายุอันหนาวเหน็บ ความเย็นชาของคนผู้นั้นทำให้องค์หญิงขมขื่นผิดหวังทบเท่าทวี โดยเฉพาะเรื่องล่าสัตว์วสันต์ฤดูยิ่งทำให้องค์หญิงผิดหวังในตัวคนผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง

ครั้งนี้ องค์หญิงมายังอำเภอขาวพิสุทธิ์ในฐานะสามัญชน ในนามคือเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ กราบไหว้ดวงวิญญาณมีเมตตาที่จากไปสิบปีแล้วของท่านผู้นั้น แต่แท้จริงแล้วมาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์และเพื่อหลีกหนีวังวนแห่งการปกครองที่มีลับลมคมในในเมืองฉิน

ทางเลือกเช่นนี้เหมือนคิดจะถอนตัวขณะมียศศักดิ์ติดตัว

แต่ว่าจะถอยออกมาได้จริงๆ อย่างนั้นรึ?

ในฐานะที่เป็นกุนซือ และในฐานะที่เป็นคนเก่าคนแก่ผ่านอุปสรรคต่างๆ ในเมืองฉินมาสามสิบปี เขากลับไม่คิดเช่นนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา