จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 81

จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 81 เจียวตัวนี้เป็นของข้า
“ตัวข้าผู้อาวุโสสำนักดับนิวรณ์ เว่ยชง”

เว่ยชงท่าทางหยิ่งยโส แนะนำสำนักตัวเองอย่างบ้าอำนาจ

“สำนักดับนิวรณ์?” หลี่มู่โบกมืออย่างรำคาญ “ข้าไม่เคยได้ยิน”

“ผู้เยาว์ อย่าได้กำเริบเสินสานให้มากนัก มิฉะนั้นเจ้าอาจรับผิดชอบผลที่จะเกิดขึ้นไม่ได้” เว่ยชงแค่นเสียงเย็นพูดขึ้น “ถอยไปโดยเร็ว เจียวตัวนี้เป็นของสำนักดับนิวรณ์ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดแตะต้อง”

“มารดาเจ้าน่ะสิ” หลี่มู่โมโหจนขำ “ตาเฒ่า เจ้าไร้ยางอายขนาดนั้นเลยหรือ?”

“เจ้า…กล้าด่าข้างั้นรึ?” เว่ยชงไม่อยากจะเชื่อนัก

เขาฐานะสูงส่งเพียงใด ปกติแล้วแค่เอ่ยนามออกไป คนไม่รู้ต่อเท่าไหร่ต่างก็ตกใจอกสั่นขวัญแขวน

ตอนนี้กลับถูกคนรุ่นหลังด่าเอาเสียได้?

“ที่ด่าเจ้ายังน้อยไปด้วยซ้ำ เจียวตัวนี้เป็นสัตว์เทพที่เมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เลี้ยงเอาไว้ ทุกคืนข้ามาขยับยืดเส้นยืดสายเป็นเพื่อนมัน แลกเปลี่ยนวิชากันบ้าง เลี้ยงมาตั้งนมนานจนเกิดความผูกพันธ์กัน เพราะฉะนั้นมันเลยยอมมอบเลือดให้กับข้า…สำนักดับนิวรณ์ถือดีอย่างไรกันถึงกล้าชี้กวางเป็นม้า[1] กลับดำเป็นขาว เจ้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว ทำไมพูดจาหน้าด้านได้ถึงขนาดนี้?”

หลี่มู่ด่าทอไม่หยุด

เขารับไม่ได้ที่สุดก็คือพวกชอบวางท่ากระโดดออกมาฉวยผลประโยชน์พวกนี้

“โจมตี ฆ่ามันเสีย” เว่ยชงโมโหจนตัวสั่นเทิ้ม

เขาสัมผัสจิตต่อสู้หรือคลื่นพลังเวทจากร่างของหลี่มู่ไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นจึงออกคำสั่งทันที ไม่อยากพูดให้มากความอีกต่อไป

โจวเข่อเอ๋อร์หน้าเปลี่ยนสีทันที รีบร้อนเอ่ยปากขึ้นว่า “ช้าก่อน ผู้อาวุโสเว่ย ขอข้าพูดอะไรสักหน่อย”

“อ้อ เป็นผู้คุมกฎโจวนี่นา ฮ่าๆ ดูแล้วผู้คุมกฎหลิงลี่จะบาดเจ็บไม่น้อยเลย เจ้าไม่ไปรักษาบาดแผลให้กับชายในดวงใจแต่กลับรั้งอยู่ที่นี่ หรือคิดอยากจะแย่งความดีความชอบกับข้า?” เว่ยชงยิ้มเสแสร้ง

อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็เห็นโจวเข่อเอ๋อร์และ ‘ใจมาร’ หลิงลี่ที่สลบอยู่ แต่จงใจทำเป็นมองไม่เห็น

ตอนนี้เขาแกล้งทำท่าว่าเพิ่งจะเห็นนางเช่นกัน

“บาดแผลของญาติผู้พี่ ไม่รบกวนให้ผู้อาวุโสต้องเป็นห่วง” ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ของโจวเข่อเอ๋อร์เย็นชา พูดอย่างราบเรียบว่า “ก่อนหน้านี้สหายน้อยผู้นี้ได้ช่วยเหลือข้าและญาติผู้พี่เอาไว้ มีบุญคุณกับสำนักดับนิวรณ์ของเรา ขอผู้อาวุโสอย่าได้คิดเล็กคิดน้อย ละเว้นเขาด้วย”

“สหายของผู้คุมกฎโจว?” เว่ยชงหัวเราะเสียงเย็น “ช่างน่าขันนัก เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้ว เจ้าสวะนี่หยามหมิ่นสำนักดับนิวรณ์ ไม่ว่าใครพูดเช่นนั้นออกมาก็ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของมัน”

“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด สหายของข้าผู้นี้ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักสำนักดับนิวรณ์” โจวเข่อเอ๋อร์พูดขึ้นอีก

ขอทานเฒ่าที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลอกดวงตาไปมา

ทำไมเขารู้สึกว่าคำพูดของแม่นางน้อยมีความหมายเหมือนราดน้ำมันบนกองเพลิงเสียอย่างนั้น

“ผู้หยามหมิ่นสำนักดับนิวรณ์ ไม่ละเว้นเด็ดขาด” เว่ยชงหัวเราะเยาะหยัน

เขาไม่รังเกียจที่จะฉวยโอกาสนี้ข่มคนของฝ่ายโจวเข่อเอ๋อร์

ยิ่งกว่านั้น หากเจ้าสวะที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเป็นสหายของโจวเข่อเอ๋อร์จริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นก็ยิ่งเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด

สำหรับสิ่งที่โจวเข่อเอ๋อร์พูดมาเมื่อครู่ว่าเจ้าสวะนี่มีบุญคุณช่วยชีวิตนางกับหลิงลี่ สำหรับเขาแล้วก็เป็นแค่คำแก้ตัวเท่านั้น

เด็กหนุ่มที่ไม่มีกำลังภายในหรือพลังเวทใดๆ จะมีคุณสมบัติอะไรไปช่วย ‘หน้าเซียนใจมาร’ ได้?

เว่ยชงก็ไม่ใช่คนอวดดีสุ่มสี่สุ่มห้า

เขาเห็นสภาพรอบๆ โดยประมาณแล้ว สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโจวเข่อเอ๋อร์ หลิงลี่ และจอมเวทชุดดำวัยกลางคน พูดตามตรง เขาเชื่อเสียยิ่งกว่าว่าผู้แข็งแกร่งพวกนี้สู้กับเจียวจนได้รับบาดเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย จากนั้นเจ้าสวะนี่ก็ได้ประโยชน์ไป

สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมโจวเข่อเอ๋อร์ต้องปกป้องเจ้าสวะนี่น่ะหรือ?

ง่ายมาก โลกหล้านี้มีคนหนุ่มไม่รู้ต่อเท่าไหร่ที่เพียงแค่เห็น ‘หน้าเซียน’ โจวเข่อเอ๋อร์ก็ต่างหลงใหลพร่ำเพ้อ น้ำลายไหลขณะยอมสยบอยู่ใต้ความงามของนาง เกรงว่าเจ้าเศษสวะนี่ก็เป็นเช่นนี้

“ฆ่า!”

เว่ยชงหันหน้าไป ออกคำสั่งด้วยสีหน้าเย็นชาน่ากลัว

“ช้าก่อน” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

กลับเป็นจอมเวทชุดดำวัยกลางคนนั้น

“เจ้าเป็นใคร? รนหาที่ตายงั้นรึ?”

ถูกขัดจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพลิงโทสะของเว่ยชงจึงคุกรุ่น

ชายวัยกลางคนใบหน้าเรียบนิ่ง ยกมือแสดงป้ายโลหะสีทองแล้วพูดขึ้นว่า “สหายน้อยผู้นี้คือขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ของจักรวรรดิต้าฉิน มีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ได้รับการคุ้มครองจากจักรวรรดิต้าฉิน และเป็นบุคคลที่ฝ่าบาทของข้าเลือกมา”

สีหน้าของเว่ยชงเปลี่ยนทันที

เขาจำป้ายสีเหลืองสดนั่นได้ นั่นเป็นป้ายมังกรของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิต้าฉิน

ในจักรวรรดิฉินตะวันตก ผู้ที่ถือครองป้ายมังกรจะต้องเป็นบุคคลในขั้วอำนาจเชื้อพระวงศ์

หลายปีมานี้ ถึงแม้กลุ่มอำนาจสำนักในยุทธภพจะมากขึ้น แต่หากจะขัดขืนเชื้อพระวงศ์ซึ่งหน้าก็ยังคงมีความกดดันในระดับหนึ่ง

ในใจของเว่ยชงชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียทันที

เชื้อพระวงศ์ของจักรวรรดิฉินตะวันตกมาปรากฏในเมืองเล็กกันดารเช่นนี้ได้อย่างไร?

และเป็นสายไหนในเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกกันแน่?

หากเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ เช่นนั้นก็จะล่วงเกินมากไม่ได้

สมองเว่ยชงคิดอย่างเร็วรี่ มองการแต่งกายของชายวัยกลางคนชุดดำคนนี้แล้วคิดเชื่อมโยงกับข่าวลือเรื่องเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตกในช่วงนี้ ในใจของเขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ มุมปากจึงยกรอยยิ้มเหยียดหยัน มองไปยังชายวัยกลางคนชุดดำก่อนพูดขึ้น “หรือท่านจะเป็น ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉิน หนึ่งในสี่สุภาพบุรุษแห่งเมืองหลวง?”

ใบหน้าของจอมเวทชุดดำวัยกลางคนปรากฏรอยยิ้มฝาดเฝื่อน ในเมื่ออีกฝ่ายมองฐานะของตนออก จึงทำได้แค่พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าเอง”

“ฮ่าๆ ฝ่าบาทองค์นั้นที่ท่านว่าก็คือองค์หญิงสามฉินเจินแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกใช่หรือไม่” สีหน้าเหยียดหยามบนใบหน้าของเว่ยชงชัดขึ้นเรื่อยๆ

“บังอาจ กล้าเอ่ยพระนามขององค์หญิงอย่างนั้นรึ” จอมเวทชุดดำหวางเฉินตวาด

“ฮ่าๆๆๆ…” เว่ยชงหัวเราะลั่นอย่างไม่กังวลอะไรทั้งสิ้น

เขาตัดสินใจแล้ว

“สถานการณ์ของราชวงศ์ฉินตะวันตก วันนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้? องค์หญิงสามฉินเจิน ทำให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรังเกียจเพราะเรื่องล่าสัตว์ฤดูวสันต์ แม้แต่องค์ชายน้อยที่เกิดจากพระมารดาองค์เดียวกันอย่างฉินเจิ้งก็พ่ายแพ้ยับเยิน ถูกขับออกจากเมืองหลวง สถานการณ์น่าเป็นห่วง จะเอาตัวเองยังไม่รอด ฮ่าๆๆ นี่แหละที่กล่าวกันว่าหงส์ร่วงต้องเกาะคอน สู้ไก่ก็ยังไม่ได้ ‘สุภาพบุรุษวาโย’ หวางเฉิน ในฐานะที่เป็นกุนซือของฉินเจิน ท่านไม่มีปัญญาพลิกสถานการณ์ แต่กลับมาโอ้อวดอยู่ที่นี่ ข้าขอเตือนเจ้า คิดว่าจะปกป้องตัวเองอย่างไรให้ได้เสียก่อนเถอะ อย่าได้เที่ยวสนใจคนหรือเรื่องที่ตัวเองจัดการไม่ได้เลย”

ยามมองมายังหวางเฉินด้วยสีหน้าเหยียดหยันสังเวช ความหวาดเกรงแต่เดิมของเว่ยชงหายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา