จอมศาสตราพลิกดารา นิยาย บท 94

สรุปบท บทที่ 94 หินเป็นหลักฐาน น้ำเป็นพยาน: จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 94 หินเป็นหลักฐาน น้ำเป็นพยาน – ตอนที่ต้องอ่านของ จอมศาสตราพลิกดารา

ตอนนี้ของ จอมศาสตราพลิกดารา โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 94 หินเป็นหลักฐาน น้ำเป็นพยาน จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

จอมศาสตราพลิกดารา – บทที่ 94 หินเป็นหลักฐาน น้ำเป็นพยาน
ยามอยู่ต่อหน้ากัวอวี่ชิง พี่ใหญ่ที่เจอหน้ากันเพียงไม่กี่วัน หลี่มู่รู้สึกถึงความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาเปิดใจและปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว หลังจากมาถึงดาวดวงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่มู่ไม่รู้สึกกดดันเพราะความลับที่ตนแบกเอาไว้ ทว่ามีความสงบแบบปล่อยไปตามใจตัวเอง

เคล็ดวิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ กัวอวี่ชิงก็ถ่ายทอดให้หลี่มู่นานแล้ว

หลี่มู่จำได้ขึ้นใจ

เคล็ดวิชาการต่อสู้นี้ลึกลับอัศจรรย์ กว้างขวางลึกซึ้ง เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวไม่มีทางสัมผัสได้หมด หลี่มู่ต้องใช้เวลาช่วงระยะหนึ่งค่อยๆ ฝึกฝน เมื่อฝึกฝนสำเร็จพลังจะน่าครั้นคร้ามนัก หลี่มู่ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนั้น กัวอวี่ชิงก็แทบจะสอนทุกอย่างบอกเล่าทุกสิ่ง ถ่ายทอดความรู้ที่ตนได้พบเห็น ได้ร่ำเรียนมาด้านวิถียุทธ์ให้กับหลี่มู่โดยไม่มีหวงวิชา

ส่วนหลี่มู่ นอกจากเก็บความลับเรื่องที่ตนเองเป็นคนจากโลกมนุษย์และ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ กับ ‘หมัดยุทธ์แท้’ สองวิชานี้ เนื่องจากเกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญจึงไม่ได้เปิดเผยออกไป เรื่องอื่นเกี่ยวกับทฤษฎีหรือเคล็ดวิชาต่างๆ ที่ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้ ก็นำมาถกปัญหากับกัวอวี่ชิง

สำหรับกัวอวี่ชิงแล้ว ต่อให้เป็นสิ่งที่ซินแสเฒ่าพูดไปตามปาก ก็เป็นการเปิดโลกความคิดครั้งใหญ่

ในคำพูดมากมายของซินแสเฒ่าแฝงด้วยทฤษฎีวิถียุทธ์ จากพลังฝึกและความลึกซึ้งของหลี่มู่ในวันนี้ อาจจะยังเข้าใจไม่ล้ำลึกพอ แต่สำหรับกัวอวี่ชิง เขาไม่ใช่แค่เข้าใจเลยเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกกระจ่างแจ้งในพริบตา

ข้อติดขัดและความสงสัยบางอย่างที่รบกวนใจอยู่นานพลันคลี่คลายลง

“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากได้ทฤษฎีวิถียุทธ์ที่แท้จริงนี้มาตั้งแต่ทีแรก ข้าคงจะพลิกผันการต่อสู้ในครั้งนั้นได้”

กัวอวี่ชิงได้ฟังแล้วบรรลุถึงจุดที่น่าอัศจรรย์ ในใจรู้สึกเบิกบานจนอดกระโดดขึ้นมาไม่ได้

“น้องมู่ ตกลงเจ้ามาจากสำนักใดกันแน่? ความเชี่ยวชาญด้านการฝึกวรยุทธ์ของอาจารย์เจ้าเป็นมนุษย์ในหมู่เทพเซียนชัดๆ ทฤษฎีและมุมมองที่เยี่ยมยอดเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักเทพทั้งเก้าก็ใช่ว่ามองได้ทะลุ” กัวอวี่ชิงพูดอย่างทอดถอนใจ

หลี่มู่ตอบไปว่า “ท่านอาจารย์เก่งกาจเลิศล้ำ เหมือนมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ข้าก็ไม่ได้เจอเขาบ่อยๆ ยิ่งไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาด้วย” เขาบรรยายรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ของซินแสเฒ่ารอบหนึ่ง แต่ย่อมไม่ได้พูดว่าที่จริงซินแสเฒ่าไม่ได้อยู่ที่ดาวดวงนี้

ปกปิดความจริงเช่นนี้ ทำให้ของหลี่มู่ค่อนข้างละอายใจ

เพราะกัวอวี่ชิงไม่ปกปิดอะไรกับเขาเลย

แต่เรื่องนี้สำคัญมากจริงๆ อีกทั้งนับว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นและดาวดวงนี้ ดังนั้นหลังจากหลี่มู่ลังเลเล็กน้อยก็ตัดสินใจเก็บไว้ รอให้วันหน้ามีโอกาสค่อยสารภาพก็ได้

“บนโลกนี้มียอดฝีมือเหนือชั้นที่ท่องโลกผจญภัยมากมาย ก็เหมือนเช่นที่ว่านี้ อาจารย์ของเจ้าจะต้องเป็นยอดฝีมือวรยุทธ์สูงส่ง มีความรู้ลึกซึ้งเป็นแน่” กัวอวี่ชิงทอดถอนใจแล้วพูดขึ้นอีก “น้องมู่ เจ้าก็นับว่าเป็นศิษย์สำนักมีชื่อเสียงเหมือนกันนะ ฮ่าๆๆ ดื่มให้สะใจ มา ดื่มอีกถ้วย”

“หมดถ้วย” หลี่มู่ยกถ้วยเหล้าขึ้นสูง

‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติกายของเขา ทำให้เขาคอแข็งจนน่าตกใจ ดื่มกับกัวอวี่ชิงอย่างสะใจนานถึงเพียงนี้ หลงใหลวิชาธนูดุจหลงใหลสุรา ดื่มเหล้าร้อนแรงหกเจ็ดไหก็แค่รู้สึกกรึ่มๆ เท่านั้น ยังไม่รู้สึกเมาเท่าใดนัก

กัวอวี่ชิงดื่มเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หัวเราะลั่นก่อนกล่าว “น้องมู่ เหล่ากัว[1]ผู้นี้เพิ่งได้พบกับเจ้า แต่เหมือนรู้จักกันมานาน พูดคุยด้วยก็สุขใจยิ่งนัก หากเจ้าไม่รังเกียจ เจ้าและข้ามีน้ำเป็นพยาน มีหินเป็นหลักฐาน มาสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กันเป็นเช่นไร?”

หลี่มู่ดีใจอย่างยิ่งยวด ผุดลุกขึ้นยืน “ข้าก็หวังเช่นกัน เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยออกมา”

กัวอวี่ชิงหัวเราะร่า

ปราณธนูคมกริบหมุนวนขึ้นบนนิ้วทั้งห้าของเขา แล้วพุ่งไปในอากาศ ครั้นยื่นมือออกไปยังกำแพงหินตามอารมณ์ ก็คว้าก้อนหินขนาดกว้างคูณยาวราวสี่ฉื่อออกมา มันปราณธนูตัดได้เป็นระเบียบ ก่อนร่วงมาอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง จากนั้นกัวอวี่ชิงใช้นิ้วเป็นลูกธนู กรีดเฉือนไปยังก้อนหิน เพียงชั่วพริบตา กระถางธูปรูปทรงโบราณก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

เขาตัดออกมาเหมือนเดิม ทำเป็นชามหินสองใบ

มีก้อนหินเป็นหลักฐาน

หลี่มู่เติมน้ำบาดาลจากน้ำตกเก้ามังกรลงไปในกระถางธูป

มีน้ำเป็นพยาน

สุราเลิศรสถูกรินลงไปในชามหิน

หลี่มู่กรีดข้อมือของตน หยดเลือดลงไปในเหล้าหนึ่งหยด

กัวอวี่ชิงอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าโลกใบนี้ไม่มีขั้นตอนการสาบานแบบนี้ แต่ว่าเขาก็ตั้งตัวกลับมาได้ทันที ในใจตื่นเต้นนัก กรีดข้อมือหยดเลือดลงไปเช่นกัน

เลือด ในโลกวิถียุทธ์แห่งนี้ก็มีความหมายที่อัศจรรย์นักเช่นกัน

สายเลือด ในประวัติศาสตร์ของโลกใดหรือการขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตใดก็ตามแต่ ล้วนมีความสำคัญที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาทดแทนได้

ทั้งสองคุกเข่าลงหน้ากระถางธูปหิน

“สวรรค์อยู่เบื้องบน ปฐพีอยู่เบื้องล่าง น้ำเป็นพยาน หินเป็นหลักฐาน หลี่มู่มนุษย์จากแดนโลก ขอสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับพี่กัวอวี่ชิง จากนี้มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขร่วมเสพ ไม่ขอเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่จะขอตายในวันเดือนปีเดียวกัน”

หลี่มู่พูดเสียงดัง สีหน้าท่าทางฮึกเหิมเคร่งขรึม

หลี่มู่กรึ่มเหล้า จิตใจฮึกเหิม เอ่ยคำสาบานสามพี่น้องในสวนดอกท้อที่แพร่หลายบนโลกมายาวนานที่สุดและซาบซึ้งที่สุดรวดเดียว

กัวอวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ ตะลึงไป เขาได้ยินว่า ‘มนุษย์จากแดนโลก’ จากปากของหลี่มู่ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นชื่อสถานที่ใดในโลกใบนี้เท่านั้น เขาแค่คิดไม่ถึงว่าน้องชายคนนี้จะเอ่ยคำสาบานแบบนี้ออกมา ในใจจึงซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ทว่ากลับลังเลเล็กน้อย

“พี่กัว?” หลี่มู่มองเขา

กัวอวี่ชิงพูดอย่างลังเล “น้องมู่ ข้า…”

เขาลำบากใจเล็กน้อย

จุดที่ลำบากใจ ตัวเขารู้แน่อยู่แก่ใจ ตอนนี้คนในยุทธจักรพบร่องรอยของตนและภรรยาแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานเท่าใด การไล่สังหารจากสำนักเทพทั้งหลายก็จะมาถึง ถึงตอนนั้นแม้จะมีคำทำนายจากผู้กุมความลับสวรรค์ ก็เป็นแค่โอกาสรอดริบหรี่เท่านั้น หากตอนนั้นเกิดดับดิ้นขึ้นมา เอ่ยคำสาบานแบบนี้จะไม่เป็นการทำให้หลี่มู่เดือดร้อนไปด้วยหรือ?

“พี่กัว ข้าพอจะรู้เช่นกันว่าใจท่านกังวลอะไร”

หลี่มู่เอ่ยพร้อมยิ้มบาง

ตอนอยู่บนโลกเขาอ่านนิยายกำลังภายในต่างๆ มานับไม่ถ้วน สำหรับผู้หลบซ่อนตัว ที่จริงแล้วมีฉากไม่ค่อยดีมากมาย ยกตัวอย่างเช่นพิณประกาศิตฉบับละครโทรทัศน์ หรือคู่สามีภรรยาจางชุ่ยซาน (เตียชุ่ยซัว) ในเรื่องดาบมังกรหยก เมื่อถูกพบหรือถลำลึกเข้าไปในยุทธจักรก็ถูกดักล้อมไล่สังหาร จุดจบน่าสังเวช

แต่ว่าในใจของเขากลับไม่มีความหวาดหวั่น

และไม่ตื่นกลัวด้วยเช่นกัน

เขายังคงโทษตัวเองและละอายใจจากสิ่งที่พวกหม่าจวินอู่ต้องพบเจอ

เขายังคงเชื่อมั่นว่าคุณชายจะต้องกลับมา

เขาไม่กังวลเรื่องชะตาชีวิตของตน สิ่งที่เขากังวลคือหม่าจวินอู่และพวกเฝิงหยวนซิงที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกจะต้องเจอกับการเค้นความที่เหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรมเพียงใด

‘ยืนหยัด จะต้องยืนหยัดต่อไป รอคุณชายมา จะต้อง…ช่วยพวกน้าหม่าให้ได้’

‘ข้า จะต้องมีชีวิตต่อไป จะต้องชดเชย…’

ชิงเฟิงพูดกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ

สติรับรู้ของเขากำลังรับแบบทดสอบและการฝึกฝนที่โหดร้ายที่สุด

เขากำลังอดทน รอคอยอย่างเงียบๆ

ไม่ว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่ เขาก็ต้องให้ตัวเองยืนหยัดต่อไป

ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ

มีชีวิตอยู่ถึงจะแก้แค้นได้ ถึงจะช่วยเหลือได้

……

คุกของที่ว่าการ

หม่าจวินอู่ที่แขนขาดไปข้างหนึ่ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแส้ รอยดาบ ตราประทับ แทบจะหาเนื้อหนังที่สมบูรณ์ไม่ได้ เขาที่แต่เดิมเสียเลือดมากเพราะแขนขาดจึงสลบเหมือดไป ต่อให้หลี่ปิงสั่งให้คนสาดน้ำเย็นไปสามสี่ถังก็ไม่อาจปลุกสติเขาให้คืนมาได้

“มารดามันสิ ตายเร็วขนาดนี้เลย”

หลี่ปิงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ ใบหน้าแย้มยิ้มเหี้ยมเกรียม

จากนั้น สายตาของเขาหยุดลงที่บนร่างของเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งที่ถูกโซ่แขวนไว้บนหลักไม้

ทั้งสองคนสภาพไม่ได้ดีไปกว่าหม่าจวินอู่เท่าใด การถูกทรมานเค้นความลับไม่หยุด ทำให้ร่างกายของพวกเขาอยู่ในสภาพยับเยิน แต่ไม่รู้ว่าปณิธานตั้งมั่นจากที่ใดทำให้พวกเขายังรักษาสติเอาไว้ได้บ้าง

……………………………………………………

[1] การใช้คำว่า เหล่า แล้วตามด้วยแซ่ เป็นวิธีการเรียกสรรพนามแทนตัวของภาษาจีนอย่างหนึ่ง แสดงถึงความใกล้ชิดและสนิทสนม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมศาสตราพลิกดารา