ตอน บทที่ 89 ตระกูลเจิ้งในเมืองหลวง จาก จักรพรรดิมารหวนคืน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 89 ตระกูลเจิ้งในเมืองหลวง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายใช้ชีวิต จักรพรรดิมารหวนคืน ที่เขียนโดย หว่อปู้ซื่อZ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 89 ตระกูลเจิ้งในเมืองหลวง
ตระกูลเจิ้งในเมืองหลวง !
เมื่อเฉินจิ้นพาโม้หลัวกับโม้ซื่อมาถึงตระกูลเจิ้งในเมืองหลวงแล้ว
ตระกูลเจิ้งก็ได้เฉันสู่สภาพของการป้องกันแล้ว
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในรากเหง้าของตระกูลเจิ้ง แทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน มีความแข็งแกร่งชั้นสูงสุดปรมาจารย์ เจิ้งหงจื๋อ ตอนนี้ก็นี้กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนตระกูลเจิ้ง
เห็นทั้งสามคนเดินมาอย่างมั่นใจ ในดวงตาของผู้อาวุโสเจิ้งหงจื๋อก็มีแสงสว่างวาบ
“หยางโป๋ ท่านพ่อของคุณล่ะ ?”
เสียงของเจิ้งหงจื๋อแหบไปบ้าง แต่เสียงที่ส่งออกมาก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้อง
โม้ซื่อได้ยิน แต่ได้ไม่ตอบรับคำพูด
เพียงแค่เดินตามหลังเฉินจิ้นอย่างเคารพ แล้วเดินไปยังฝั่งตระกูลเจิ้ง
ใบหน้าอันเก่าแก่ของเจิ้งหงจื๋อก็เผยสีหน้าแห่งความเจ็บปวด
อายุของเขามากเกินไป และเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าในพลังวิชาบูโด ไม่มีความหวังที่จะเฉันสู่แดนเสิน ไม่เกินห้าปีเขาก็จะต้องมรณภาพในท่านั่งสมาธิ
ในฐานะที่เป็นสายเลือดเดียวกัน และเป็นชั้นสูงสุดปรมาจารย์ด้วย ระหว่างเขากับเจิ้งเจี้ยนหัวสองคนจึงมีความรู้สึกพิเศษอย่างหนึ่ง ก่อนหน้าหนี้เขารู้สึกว่าลมหายใจแห่งชีวิตของเจิ้งเจี้ยนหัวได้หายไป จึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จึงได้ออกมาจากการฝึกซ้อมในทันที
จากนั้นจึงได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดของตระกูลเจิ้งนี้
ในตอนแรกเขายังคงมีความหวังอันริบหรี่ แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นพฤติกรรมแบบนี้ของเจิ้งหยางโป๋ เขาก็รู้ว่าเจิ้งเจี้ยนหัวผู้ยอดเยี่ยมคนแรกของตระกูลเจิ้งที่ได้แตะถึงธรณีประตูแดนเสินได้ตายแล้วจริงๆ
ส่วนเขา ชีวิตกำลังจะมาถึงจุดจบ เขาสามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตของตระกูลเจิ้งจะต้องเสื่อมลง !
“ท่านนี้ คิดว่าคงเป็นเฉินจิ้นสินะ !”
เจิ้งหงจื๋อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินอยู่ฉันงหน้าเจิ้งหยางโป๋กับเจิ้งตงหยาง จึงพูดออกมา
“ไม่ผิด” เฉินจิ้นมองไปที่เขาแล้วพูดออกไปอย่างราบเรียบ “ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร วันนี้จะไว้ชีวิตได้ !”
ดวงตาของเจิ้งหงจื๋อฉายแววซับซ้อน “กระดูกอันเก่าแก่ของฉันนี้ได้ฝังลงไปในดินเหลืองเกินครึ่งหนึ่งแล้ว มีชีวิตอยู่นานไม่กี่วันหรือหายไปไม่กี่วันมันก็ไม่ต่างกัน”
“เจี้ยนหัวตายด้วยน้ำมือของคุณนั้นมันก็สมเหตุสมผล ถ้ามิใช่เพราะตระกูลเจิ้งไปยั่วยุคุณก่อน มากไปกว่านี้คือตงหยางสั่งคนไปลักพาตัวภรรยาและลูกน้องของคุณ ก็อาจจะไม่เดินมาถึงขั้นนี้ ซึ่งมันโทษคนอื่นมิได้ !”
ในดวงตาของเฉินจิ้นฉายแววประหลาดใจ
“เหตุและผลก็ได้จบไปแล้ว ตระกูลเจิ้งของฉันสัญญาว่าจะไม่หาเรื่องอีก ยังยินดีที่จะทำการชดใช้ ไม่รู้ว่าเสี่ยวโหย่วจะยอมปล่อยคนทรยศสองคนนี้ให้ตระกูลเจิ้งได้หรือไม่ จากนี้ไปพวกเราก็ลบล้างทั้งหมด !”
เพื่ออนาคตของตระกูลเจิ้ง เจิ้งหงจื๋อต้องประนีประนอม
ยิ่งไปกว่านั้นคือเฉินจิ้นเป็นอัจฉริยะ ยังอายุน้อยก็สามารถสังหารเจิ้งเจี้ยนหัวได้ พลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เท่าเจิ้งเจี้ยนหัวเลย ซึ่งเป็นคู่ต่อเฉินจิ้นไม่ได้
“เรื่องตลก หากจะเป็นเช่นนั้น ใครก็ตามสามารถหาเรื่องและทำอันตรายต่อเพื่อนและครอบครัวของฉันได้แล้ว สู้ไม่ได้ก็เลยหาวิธีชดเชยด้วยการขอโทษ ?”
เฉินจิ้นหัวเราะเยาะ
“ฉันรู้ว่าคุณมีพลังมาก แต่ถ้าคุณยืนยันจะทำเช่นนี้ สุดท้ายมันก็สูญเสียทั้งสองฝ่าย ทำไมไม่เลือกเอาชนะไปด้วยกันล่ะ ?”
เจิ้งหงจื๋อพูดต่อไป
เขาไม่สามารถสังหารเฉินจิ้นได้ สังหารเฉินจิ้นไม่ได้ก็หมายความว่าตระกูลเจิ้งจะมีคู่ต่อสู้ในระดับแดนเสินที่มีความแข็งแกร่งน่าหวาดกลัว
แม้ว่าในอดีตตระกูลเจิ้งจะแข็งแกร่ง แต่หลังจากเขามรณภาพในท่านั่งสมาธิแล้ว ตระกูลเจิ้งก็จะเป็นอันตราย !
“สูญเสียทั้งสองฝ่าย คุณนี่มองตนเองสูงเกินไปแล้วนะ”
เฉินจิ้นพูดอย่างหัวเราะเยาะ
“แน่นอนว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แต่คุณก็หยิ่งยโสเกินไป ตระกูลเจิ้งของฉันเป็นตระกูลที่เคยมีแดนเสินนะ !”
เจิ้งหงจื๋อรู้ว่าเฉินจิ้นจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน หากจะทำเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้กันเลย
“เริ่มค่าย !” เจิ้งหงจื๋อพูดออกไปด้วยน้ำเสียงต่ำ
ทันใดนั้นเฉินจิ้นก็รู้สึกถึงสภาพรอบๆ ตัวราวกับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปทันที
เขาเฉันไปอยู่ในเขาวงกตอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีขอบเขต
รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยหมอก !
ไม่สามารถตัดสินเวลาและแยกทิศทางได้ !
ค่ายประสาทหลอน !
เฉินจิ้นตัดสินทันทีว่านี่คือค่ายอะไร
“เฉินจิ้น ตอนนี้คุณตกอยู่ในค่ายปกป้องจวนของตระกูลเจิ้งของฉันแล้ว นี่เป็นบรรพบุรุษแดนเสินของฉันลงมือทำขึ้นมาเอง ขอให้คุณเพลิดเพลินแล้วกันนะ”
ในตอนนี้เสียงของเจิ้งหงจื๋อเฉกเช่นเสียงฟ้าร้องดังไปทั่วทิศ
มุมปากของเฉินจิ้นยกขึ้นอย่างเยาะเย้ย
นี่เป็นสิ่งที่แดนเสินของฉันลงมือทำขึ้นมาเอง ?
ค่ายประสาทหลอนนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
แต่ก็ยังเป็นคำพูดนั้นเช่นเดิม
หากเขายังอยู่ในแดนฝึกลม ถ้าอย่างนั้นเฉินจิ้นจะต้องไปหาใจกลางของค่าย ตามขั้นตอน จากนั้นค่อยไปทำลาย ค่ายประสาทหลอน นี้
ทว่าตอนนี้เขาได้เฉันมาสู่แดนเสินทงแล้ว แม้ว่าเพิ่งจะเฉันสู่แดนเสินทง และยังอยู่ใน แดนเสินทงชั้นต้น
แต่มันก็ต่างจากอดีตไปแล้ว
“อะไรเรียกว่าเสินทง ? มันคือไม่อยู่ในภพภูมิธรรมดาๆ”
“ก็แค่ค่ายประสาทหลอน แตกสลายให้ฉัน !”
เฉินจิ้นตะโกนออกไป ยืนอยู่ที่เดิม ส่วนเท้าขวาก็กระทืบไปที่พื้นอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นก็มีคลื่นกระทบที่ไร้รูปร่างกระจายไปรอบๆ จากเฉินจิ้นที่เป็นศูนย์กลาง
“แย่แล้ว ค่ายไม่คงที่ !”
ในใจของเจิ้งหงจื๋อตกตะลึง
นี่เป็นค่ายที่บรรพบุรุษแดนเสินสร้างขึ้น ถ้าไม่ได้อยู่ในแดนเสิน วิธีที่ดีที่สุดในการทำลายค่ายคือการใช้ฝีมือ แม้จะเป็นชั้นสูงสุดปรมาจารย์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกำลังเพื่อทำลายค่ายได้อย่างแน่นอน
ค่ายนี้จะไม่คงที่ได้อย่างไร ?
แต่ยังโชคดีที่ค่ายแค่หวั่นไหว จากนั้นก็กลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง
“คุณเด็กสารเลวนี่สมกับเป็นปีศาจจริงๆ เลยนะ หวังเพียงว่าค่ายนี้จะสามารถขังเขาไว้ได้ ถ้าเขาไม่สามารถทำลายค่ายได้ ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม บางทีอาจจะขังเขาจนตายก็ได้ ถ้าทำได้เช่นนั้นจริงๆ ตระกูลเจิ้งก็จะปลอดภัยแล้ว !”
เจิ้งหงจื๋อมองไปยังเฉินจิ้นที่อยู่ในค่าย แล้วพูดพลางถอนหายใจ
ในเวลาเดียวกันก็มองไปยังโม้ซื่อและโม้หลัวด้วยสายตาที่เยือกเย็น
แต่ในตอนนั้นเจิ้งหงจื๋อก็สึกว่าค่ายสั่นสะเทือนอีกครั้ง
มันเป็นเพียงชั่ววินาทีสั้น ๆ แต่ความรุนแรงของการสั่นสะเทือนนั้นยิ่งใหญ่กว่าเดิม !
ในสมองของเจิ้งหงจื๋อจึงมีความคิดที่น่าเหลือเชื่ออย่างหนึ่งขึ้นมากะทันหัน
ไม่ใช่เฉินจิ้นกำลังใช้พลังทำลายค่ายแล้วเหรอเนี่ย ?
เขาสามารถทำให้ค่ายที่แดนเสินหวั่นไหวได้อย่างไม่คาดคิด ?
เจิ้งหงจื๋อรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง !
จากนั้นค่ายก็ได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง
เจิ้งหงจื๋อตกใจกลัว
เฉินจิ้นกำลังทำลายค่ายอย่างรุนแรงจริงๆ นอกจากนี้แล้วสามารถสั่นสะเทือนค่ายที่แดนเสินสร้างไว้ได้จริงๆ
......
......
เฉินจิ้นที่อยู่ในค่ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ค่ายนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดไว้
เห็นได้ว่าผู้ยอดเยี่ยมแดนเสินบนโลกนี้ก็มีความสามารถอยู่บ้าง แต่ก็เพียงแค่นี้
“แตกสลายให้ฉัน !”
เฉินจิ้นได้ตะโกนออกไปอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีพลังหวนต้วนชั้นต่อชั้นกระจายไปรอบๆ จากเขาที่เป็นศูนย์กลาง
ที่ที่พลังหวนต้วนผ่านไปก็แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ
วินาทีต่อมา หมอกกับเขาวงกตที่อยู่รอบๆ เฉินจิ้นก็หายไปจนหมด
จากนั้นจึงกลับสู่ปกติอีกครั้ง
เจิ้งหงจื๋อเห็นฉากนี้แล้วก็เบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย
เฉินจิ้นทำลายค่ายที่บรรพบุรุษของพวกเขาสร้างเอาไว้ได้จริงๆ อย่างไม่คาดคิด
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?
“คุณ......ทำไม ?”
นึกไม่ถึงว่ามันอยู่ในศาลบรรพบุรุษของตระกูลเจิ้ง
ครู่ต่อมาเฉินจิ้นก็ได้พาเจิ้งหงจื๋อไปปรากฏตัวศาลบรรพบุรุษของตระกูลเจิ้ง
ในศาลบรรพบุรุษของตระกูลเจิ้งมีป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษของตระกูลเจิ้งตั้งอยู่เยอะแยะมากมาย
แต่ในหมู่นั้น มีสถานที่สำหรับเป็นโต๊ะบูชาแยกต่างหาก ด้านบนไม่มีป้ายวิญญาณแต่ได้ตั้งรูปทองคำรูปหนึ่งไว้
เมื่อเจิ้งหงจื๋อเห็นรูปปั้นทองคำนี้แล้ว ในใจก็ผุดความคิดหนึ่งออกมา หรือว่าแสงสีท้องเมื่อกี้เป็นสิ่งที่รูปปั้นสีทองนี้ส่งออกมา
มิฉะนั้นเฉินจิ้นจะพาเขามาที่ศาลบรรพบุรุษทำไม
“รูปปั้นทองคำนี้ เป็นของแดนเสินในตระกูลเจิ้งของคุณเหรอ ?”
เฉินจิ้นถามขึ้น
เจิ้งหงจื๋อตอบอย่างภาคภูมิใจ “คือบรรพบุรุษของฉัน !”
ในเวลาเดียวกันในใจก็ตื่นเต้นขึ้นมา บรรพบุรุษแดนเสินของตระกูลเจิ้งของพวกเขา ได้เอารูปปั้นทองคำนี้ไว้ให้เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว และได้บอกว่า “ลูกหลานของตระกูลเจิ้งต้องบูชาทุกวัน จากนั้นก็หายจากโลกไป”
ร้อยปีผ่านไป
ไม่เคยเห็นอีกเลย !
ลูกหลานของตระกูลเจิ้งของพวกเขาเหล่านี้คาดเดาว่าบรรพบุรุษแดนเสินอาจจะเสียชีวิตไปนานแล้ว
แต่เขานึกไม่ถึงเลยสักนิดว่า ร้อยปีต่อมารูปปั้นทองคำที่บรรพบุรุษแดนเสินที่ทิ้งไว้ให้นี้ยังสามารถส่งพลังร้ายแรงขนาดนี้ออกมาได้อย่างอัตโนมัติ
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินจิ้นยอดเยี่ยมเกินไป ถ้าแทนที่เป็นคนอื่น มารุกรานตระกูลเจิ้งและทำลายค่ายปกป้องจวน อาจจะต้องถูกแสงสีทองนั้นสังหาร
“บรรพบุรุษมีน้ำใจเหลือเกิน เสียดายที่พระคุณต้องการให้ตระกูลเจิ้งของฉันล่มสลาย !”
สีหน้าของเจิ้งหงจื๋อเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ดูเหมือนเขาจะเฉันใจแล้วว่าทำไมบรรพบุรุษแดนเสินจึงให้ลูกหลานตระกูลเจิ้งบูชารูปปั้นทองคำ
เฉินจิ้นเดินไปฉันงหน้า จากนั้นหยิบรูปปั้นทองคำมาจากแท่นบูชาโดยตรง
ถือไว้ในมือ
เมื่อเจิ้งหงจื๋อเห็นฉากนี้แล้วจึงรีบพุ่งเฉันไปสู้กับเฉินจิ้นด้วยชีวิต
แต่ตอนนี้พลังภายในของเขาถูกปิดกั้น ไม่ต่างจากคนแก่ธรรมดาๆ เท่าไหร่ แม้แต่จะเฉันใจเฉินจิ้นยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับห้าม
หลังจากเฉินจิ้นถือรูปปั้นทองคำในมือแล้วมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง จากนั้นมุมปากก็ปรากฏขึ้นยิ้มอย่างเยาะเย้ย
“ยังไม่ตายอีกเหรอ ?”
เฉินจิ้นพูดอย่างเยาะเย้ย รูปปั้นทองคำนี้ไม่ได้เป็นอาวุธมานาระดับสูง อย่างที่เฉินจิ้นคิด
แต่เป็นเครื่องบูชาพิธีเซ่นไหว้อย่างหนึ่ง
ในจักรวาลก็มีผู้ทำไสยศาสตร์และเครื่องบูชาพิธีเซ่นไหว้ ซึ่งเฉินจิ้นไม่ได้รู้สึกแปลก
ในรูปปั้นทองคำนี้ ได้เก็บพลังแห่งความแห่งศรัทธาไว้อย่างหนาแน่น
นอกจากนี้ยังยันต์ลึกลับบางอย่างอยู่ ในทุกๆ ครั้งที่ห่างกัน พลังแห่งศรัทธาก็จะหายไปจากยันต์
เฉินจิ้นรู้ว่าพลังแห่งความศรัทธาเหล่านี้เกิดจากลูกหลานของตระกูลเจิ้งบูชาทุกวัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับบรรพบุรุษแดนเสิน ลูกหลานตระกูลเจิ้งก็จะคลั่งไคล้และบูชา แทบจะพูดได้ว่าเป็นความศรัทธาของตระกูลเจิ้งของพวกเขา
ในรูปปั้นทองคำนี้ได้เก็บพลังความศรัทธาไว้ไม่น้อย แสงสีทองเมื่อกี้ได้ทำให้พลังแห่งศรัทธาหายไปบางส่วน
“ถ้าหลอมพลังแห่งศรัทธาของรูปปั้นทองคำนี้ มันจะช่วยให้ฉันมีพลังทะยานขึ้นเป็นอย่างมาก แล้วตอนนั้นจิตเสินก็ยิ่งจะแข็งแกร่งมากขึ้นอีก”
เฉินจิ้นพูดอยู่ในใจ
ส่วนบรรพบุรุษแดนเสินของตระกูลเจิ้งจะตายหรือมีชีวิตอยู่ เฉินจิ้นก็ไม่ได้สนใจ
แต่พลังแห่งศรัทธานี้ เขาจะเอาให้ได้ !
เฉินจิ้นใช้ จิตเสิน ผสมกับพลังหวนต้วนเพื่อลบยันต์ที่อยู่ในรูปปั้นทองคำ !
......
......
ในเวลาเดียวกัน
ที่ใดสักแห่งในปริภูมิบนโลกใบนี้
มีร่างหนึ่งลืมตาทั้งคู่ขึ้นอย่างฉับพลัน ในดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง !
“มันเป็นใคร ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิมารหวนคืน