สรุปตอน บทที่ 64 ขยะหรือมังกร – จากเรื่อง จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี โดย จิ่วเทียน
ตอน บทที่ 64 ขยะหรือมังกร ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี โดยนักเขียน จิ่วเทียน เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 64 ขยะหรือมังกร
"ใครน่ะ! "
หยางคางมีสีหน้าไม่พอใจ เมื่อหันกลับมาก็เห็นชายคนหนึ่ง ทันใดนั้นหนังตาของเขาก็กระตุกขึ้นทันที แล้วรีบกระโดดเข้าไปต้อนรับราวกับลิง
“เลขาจ้าว ที่แท้คือคุณ”
ไม่รู้จักหวางผิงไม่เป็นไร แต่เลขาธิการอัยการสูงสุดไม่อาจไม่รู้จัก
หยางคางหวาดกลัวขึ้นมา เขารีบยิ้มประจบ “เลขาจ้าว คุณมาได้จังหวะพอดี มานั่งดื่มด้วยกันไหม?”
“ฉันไม่มีคุณสมบัติขนาดนั้น คุณเป็นถึงอัยการสูงสุดหยาง” เลขาจ้าวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง แต่กลับยิ่งทำให้หยางคางตื่นตระหนก
เลขาธิการอัยการสูงสุด ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ราชการระดับหัวหน้าส่วนทั้งนั้น สามารถจัดการเขาที่เป็นหัวหน้าแผนกได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เข้าไม่ลงมือ แค่พูดข้างหูอัยการสูงสุดสักประโยค เขาก็คงต้องม้วนเสื่อกลับบ้าน”
ตอนนี้หยางคางกำลังลนลาน เมื่อครู่ที่เขาบอกว่าตนมีคนหนุนหลัง พวกนั้นล้วนเป็นแค่เรื่องโกหก
สาเหตุที่เขาสามารถย้ายมายังสำนักอัยการเมืองเจียงได้ ก็เนื่องมาจากโชคช่วย
ตอนแรกคนที่ถูกกำหนดไว้ไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่ใหญ่ของเขา แต่เพราะพี่ใหญ่ ของเขาถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นชั่วคราว ดังนั้นเขาที่คอยเป็นวัวเป็นม้ารับใช้พี่ใหญ่มาตลอด จึงได้รับโอกาสนี้
"เลขาจ้าว คุณอย่าโกรธนะ เป็นญาติของผมที่พูดจาล้อเล่นเท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้น ทหารที่ไม่อยากเป็นนายพลย่อมไม่ใช่ทหารที่ดี เข้าสู่เส้นทางราชการใครบ้างที่ไม่อยากเลื่อนขั้น ผมเองก็ให้แรงฮึดสู้กับตนเองเช่นกัน และจะตั้งใจทำงานในอนาคตด้วย!”
หยางคางอธิบายอย่างหน้าด้านๆ
“ผมเพิ่งโยกย้ายฉันมา หากมีอะไรที่ไม่รู้ความ ได้โปรดเลขาจ้าวอย่าได้ถือสา ผมขอขมาคุณแก้วหนึ่ง”
เลขาจ้าวหัวเราะเยาะและกล่าวว่า "ฉันสมควรจะยกย่องนายสักหน่อยด้วยหรือเปล่า มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่งก็เริ่มวางอำนาจ วางท่า พูดจาใหญ่โต หากเข้าสู่สำนักงานอัยการแล้วคงขึ้นไปปีนบนหัวของอัยการสูงสุด”
หยางคางหน้าชา ในเวลาเดียวกันในใจก็มีไปสุมอก เขาก็แค่พูดผิดไปแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ทำไมถึงได้กัดไม่ปล่อย ไม่ยอมเลิกราสักที!
แม้ในใจจะโกรธ แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา
“เลขาจ้าว ขออภัยจริงๆ ผมผิดเอง ผมจะทบทวนตัวเอง”
เลขาจ้าวสายตาเย็นชา “อย่าพูดเรื่องทบทวนตัวเองเลย อีกเดี๋ยวอัยการสูงสุดจะมารับประทานอาหาร ห้องส่วนตัวนี้หวางผิงจองเอาไว้แล้ว นายยังคิดจะใช้เวลาอยู่ในนี้อีกนานแค่ไหน หรือต้องรอให้อัยการสูงสุดมาเลี้ยงนายด้วย?”
“ไม่ไม่ไม่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้"
หยางคางหันกลับมา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และพูดอย่างตะกุกตะกัก “เอ่อขอโทษที อัยการสูงสุดกำลังจะมา พวกเราเปลี่ยนห้องกันเถอะ”
ญาติพี่น้องไม่มีใครกล้าไม่เห็นด้วย
ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็มีคำพูดที่แสนเกียจคร้านดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เลขาจ้าว นี่คุณกำลังทำไม่ถูกต้องอยู่ ข้าวกินไปได้แค่ครึ่งก็มาไล่พวกเราไป นี่มันมีเหตุผลที่ไหนกัน! "
ใครพูดขึ้น?
เป็นโล่เฉิน
ป้าใหญ่กรีดร้องทันที “ไอ้ขยะนี่แกพูดเรื่องอะไร แกนับเป็นตัวอะไรกัน ตรงนี้มีที่ให้แกพูดหรือไง?”
“ไอ้สวะ แกตั้งใจก่อเรื่อง” ลุงใหญ่เอ่ยขึ้น
ป้าเล็กเองก็เอ่ยปากด่า “ไอ้ขยะนี่ เมื่อครู่ก็แค่พูดว่านายสักหน่อย นายกับคิดแค้น ถือโอกาสนี้มาแก้แค้น เลขาจ้าว พวกเราไม่รู้จักคนคนนี้ คุณอย่าได้เอาเขามาตำหนิพวกเราไปด้วย”
“ไม่ผิด พวกเราไม่รู้จักเขาเลยสักนิด"
หยางคางเองก็โกรธจนแทบกระอัก จนแทบอยากจะเข้าไปกระชากโล่เฉินออกเป็นชิ้นๆ แต่ระงับอารมณ์ตนเองสุดขีดและเอ่ยเสียงต่ำ “เลขาจ้าว ขออภัยด้วย”
"หลิวเซียงหลันดูแลลูกเขยขยะของเธอให้ดีๆ ทำร้ายอาคางของเรา อย่ามาหาว่าฉันไร้เยื่อใย! " ป้าใหญ่กรีดร้องอย่างน่ากลัว
ใบหน้าของ หลิวเซียงหลันเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
เธอหันศีรษะไปมองโล่เฉิน กำลังจะเอ่ยปากด่า แต่กลับเห็นเงาร่างหนึ่งวูบเข้ามา ก่อนจะพบว่าเป็นเลขาจ้าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรเข้ามาหยุดลงที่ข้างๆ โล่เฉิน
“หมอเทพโล่ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง สายตาผมนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ”
เกิดอะไรขึ้น?
หลิวเซียงหลันอ้าปากค้าง เลขาจ้าวผู้สง่าผ่าเผย ทำไมถึงได้โค้งคำนับให้โล่เฉิน แถมยังมีรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะประจบสอพลอด้วย
คนที่ตกใจกว่านั้น ก็คือหยางคางและคนอื่น ๆ
ไอ้ขยะนั่น
เขามีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้เลขาจ้าวยอมรับ?
"อัยการสูงสุดจะมาทานอาหารเย็นหรือ?”
เลขาจ้าวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “มีเพื่อนคนหนึ่งนัดเขาเอาไว้ แต่ว่าในเมื่อหมอเทพอยู่ที่ห้องนี้ อย่างนั้นผมจะบอกอัยการสูงสุดให้ เขาจะต้องไม่มารบกวนหมอเทพแน่”
“อย่างนั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
โล่เฉินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นผมไม่รบกวนแล้ว”
เลขาจ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ประตูห้องถูกปิดลง
“ที่ครอบครัวของเราแม่เป็นคนตัดสินใจ ผมฟังคุณแม่” โล่เฉินหันมาสบตาและถามว่า “คุณแม่ คุณว่าจะช่วยดีไหม?”
สายตาของฝูงชนตกไปที่ หลิวเซียงหลันอย่างรวดเร็ว
“ฉัน? "
หลิวเซียงหลันเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
ตอนนี้เธอรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาทันที ความหดหู่อัดอั้นภายในใจสลายหายไป รู้สึกลืมตาอ้าปากได้ขึ้นมา
ในตอนนี้ เธอรู้สึกว่าโล่เฉินฉลาดอย่างยิ่ง รู้จักไว้หน้าให้ตน
“ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน นายก็ช่วยหน่อยแล้วกัน ยังไงสำหรับนายแล้ว ก็แค่พูดประโยคเดียว แต่สำหรับหยางคางกับไม่เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตเขาเชียว”
หลิวเซียงหลันจงใจย้ำน้ำหนักช่วงครึ่งหลังของประโยค ในคำพูดแสดงความหมายอย่างชัดเจน:
ลูกเขยของฉันสามารถตัดสินชะตากรรมของลูกชายเธอได้ในประโยคเดียว วางหน้าอะไรกัน เสแสร้งเป็นหมาป่าชูหางไปทำไมกัน!
ครอบครัวป้าใหญ่แอบกำหมัดแน่น แม้ในใจจะโกรธจนไฟแทบลุกแต่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม อึดอัดจนแทบตาย
“อย่างนั้นก็ได้ ผมฟังคุณ” โล่เฉินลุกขึ้น “ผมจะไปห้องข้างๆ ดูหน่อย”
ภายใต้การชี้นำของพนักงานเสิร์ฟ เขาก็เดินมาถึงห้องส่วนตัวห้องถัดไป
นอกจากหลินหยุนเซียวและเลขาจ้าวแล้ว ยังมีชายท่าทางสง่าผ่าเผยอีกผู้หนึ่ง อายุไล่เลี่ยกับหลินหยุนเซียว แต่ลมปราณมีพลังและดุดันเสียยิ่งกว่า
"อา หมอเทพมาแล้ว"
“อัยการสูงสุด”
"มามามา เชิญนั่งลง"
หลินหยุนเซียวราวกับเจ้าบ้าน เขาแนะนำ "เหล่าตี๋ นี่คือหมอเทพโล่ที่ฉันบอกกับนาย สามารถรักษาอาการป่วยของเสี่ยวอี๋ได้ หมอเทพ นี่คืออธิบดีกรมความมั่นคงสาธารณะเมืองเจียง ตี๋เทียนหนัน”
“สวัสดีครับ อธิบดีตี๋”
"ถือเป็นคนหนุ่มประสบความสำเร็จจริงๆ”
ตี๋เทียนหนันชูแก้วขึ้นและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หมอเทพโล่ ฉันกับเหล่าหลินเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน เสี่ยวอี๋เองก็เป็นลูกสาวบุญธรรมของฉัน ขอบคุณคุณมากที่ช่วยชีวิตเสี่ยวอี๋เอาไว้ แก้วนี้ขอดื่มให้คุณ”
"อธิบดีเกรงใจแล้ว”
หลังจากผ่านไปสองสามแก้ว หลินหยุนเซียวก็เอ่ยถามขึ้น “เหล่าตี๋ เมื่อครู่พวกเราพูดถึงไหนกันแล้ว? หมอเทพ คุณยังไม่รู้ใช้ไหม หมู่บ้านที่อยู่ถัดไปขุดภูเขาแล้วดันเจอสุสานเข้า...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จักรพรรดิผู้ฝึกอายุห้าพันปี