“ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากจะชื่อว่าอะไรล่ะ? บอกมาให้ฟังหน่อยสิ ถ้าหากฟังแล้วฟังดูไม่เลว ข้าจะไปพูดเสนอกับอาจารย์ให้เปลี่ยนชื่อเจ้าให้” เจ้าใหญ่พูดพร้อมกับยิ้ม
“ข้า...ข้ายังคิดไม่ออก แต่ถึงยังไงก็ไม่อยากถูกเรียกว่าเสี่ยวซานอีกแล้ว ไม่มีบารมีเลยสักนิด ไร้ซึ่งความน่าเกรงขาม”
“ฮ่า ๆ ๆ ยังต้องการบารมีกับเขาด้วยหรือ ชื่อเสี่ยวซานก็ออกจะไพเราะดีออก เสี่ยวซาน เสี่ยวซาน ฮ่า ๆ ๆ ๆ” เด็กชายที่มีดวงตาเป็นประกายพูดหยอกล้อเขา
“ไม่ใช่ตัวพวกท่านเองนิ พวกท่านก็ย่อมพูดได้นะสิ ฮึ” จากนั้นเขาก็เริ่มคิดชื่อให้ตัวเองเงียบ ๆ เขาต้องคิดชื่อที่น่าเกรงขามออกมา แล้วไปบอกกับอาจารย์ ทำให้พวกเขาต้องอิจฉาเขา
เด็กโตทั้งหลายทยอยเดินเข้าไปในห้องอาหาร
“อ๊าก...ศิษย์พี่สาม ไอ้ก้อนดำ ๆ นี่มันคืออะไรเหรอ กินได้ไหมอะ?”
พอเจ้าใหญ่กับเจ้ารองเห็นอาหารบนโต๊ะ มุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย บนโต๊ะมีอาหารบ้าน ๆ อยู่สี่อย่าง ซุปหนึ่งชาม และมีข้าววางอยู่สี่ชาม นอกจากข้าวที่สามารถพอจะแยกออกว่าเป็นข้าวแล้ว อาหารอื่น ๆ แทบจะแยกไม่ออกจริง ๆ ว่าเป็นอาหารประเภทใด
“ทำไมจะกินไม่ได้ มีให้กินก็ดีแค่ไหนแล้ว เจ้ายังจะรังเกียจอีก รีบมากินเร็วเข้า”
เด็กน้อยหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่ก็ไม่ขยับแต่อย่างใด เจ้าใหญ่เจ้ารองก็ไม่ขยับตะเกียบเช่นกัน
เจ้าใหญ่ : นี่เป็นอาหารที่มนุษย์กินได้งั้นหรือ กินแล้วจะขึ้นสวรรค์เลยหรือเปล่านะ เสี่ยวซานคนนี้นอกจากพืชยาสมุนไพรแล้ว ดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง เฮ้อ ต่อไปต้องห้ามให้เขาเข้าครัวเด็ดขาด
เจ้ารอง : เฉินมามาเมื่อไรจะกลับมานะ? ยังจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไร ไม่ได้การล่ะ อีกสักพักข้าต้องไปล่าไก่ป่ามาย่างกินสองสามตัวเสียแล้ว นี่มันใช่อาหารที่มนุษย์กินได้หรือ
ภายในอาศรมไป๋อวิ๋น มีคนอยู่ทั้งหมดหกคนเท่านั้น
ประมุขเสวียนจีจือเป็นบุคคลเก่งกาจที่แต่ละแคว้นต่างแย่งชิงอยากจะได้ตัวไป เขามีทักษะวิชาแพทย์และพิษ มีวิชาพยากรณ์ขั้นสูง และมีทักษะการต่อสู้และเก่งกลยุทธ์ ความสามารถไร้เทียมทานยิ่งนัก เขารับลูกศิษย์ไว้อยู่สี่คน นอกจากเสี่ยวซานและเสี่ยวซื่อที่เป็นเด็กกำพร้าที่รับมาเลี้ยงแล้ว เจ้าใหญ่กับเจ้ารองก็มีชาติกำเนิดที่ไม่ธรรมดา
เจ้าใหญ่โอวหยางซวี่เป็นถึงรัชทายาทของเป่ยฉี และเนื่องจากเสวียนจีจือเคยมีความสัมพันธ์เก่าๆกับฮ่องเต้เป่ยฉี และถูกเขาตื๊อรบเร้าอยู่สองปี ถึงรับลูกชายของเขาเป็นศิษย์เอก แน่นอนว่าในใจเขาเองก็พอใจกับศิษย์คนนี้มาก เด็กอายุยังน้อยแค่นี้แต่กลับมีความเฉลียวฉลาดและสุขุมรอบคอบ แม้ว่าจะฉลาดเหมือนพ่อที่เป็นฮ่องเต้ ก็ดีที่ยังปิดข้อบกพร่องที่มีได้ ต่อให้วางแผนเก่งแค่ไหนก็คงจะไม่วางแผนกับคนในครอบครัวของตัวเองได้หรอก
เจ้ารองต้วนเทียนหยา เขาเป็นลูกชายคนโตของต้วนเซี่ยวเทียนประมุขบู๊ลิ้ม เพราะว่าโชคชะตานำพาเสวียนจีจือจึงได้พบเจอกับเจ้าเด็กตัวแสบคนนี้ที่หนีออกจากบ้านอย่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เมื่อเห็นว่าเขามีรูปร่างที่โดดเด่นแปลกตา เป็นอัจฉริยะเหมาะในการฝึกวรยุทธ์จึงรับเป็นศิษย์คนที่สอง
ยังมีเฉินมามาอีกคนหนึ่ง นางเป็นคนรับใช้ที่อาศรมจ้างมาให้ดูแลความเป็นอยู่ของพวกเขา แต่ช่วงนี้เฉินมามามีธุระที่บ้าน มีช่วงเวลาครึ่งเดือนที่ไม่สามารถขึ้นเขามาได้ การดำรงชีวิตในช่วงนี้จึงต้องพึ่งพาตัวพวกเขาเองเท่านั้น
ทั้งสี่คนเขี่ยอาหารก้อนดำๆ ในชาม นอกจากเสี่ยวซานแล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีใครอยากอาหารสักนิด
“ศิษย์พี่ อาจารย์ปลีกตัวเข้าไปบำเพ็ญเพียรครึ่งปีแล้ว เมื่อไรจะออกมาเหรอ ข้าใกล้จะลืมแล้วว่าท่านมีหน้าตาเป็นอย่างไร” เสียงเล็ก ๆ นุ่ม ๆ ของเด็กน้อยพูดขึ้น
“ก่อนอาจารย์จะไปก็ได้บอกไว้แล้วว่า เมื่อถึงเวลาก็จะออกมาเอง” เจ้าใหญ่ตอบคำถามไปพลางกับคุ้ยเขี่ยอาหารในชามต่อ
“ข้าขอนับคำนวณดูก่อนนะ อืม~เมื่อถึงเวลาออกมาก็จะออกมาเอง” เด็กชายที่มีดวงตาเป็นประกายคนนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย และทำมือจีบกันเหมือนดอกกล้วยไม้ และพูดไปพลางกับส่ายหัวไปพลาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่ไร้เทียมทานในต่างโลก