“อ...อ...อาจารย์ ท่านอย่าได้หัวเราะแบบนี้สิ มันน่าขนลุกขอรับ” ลูกศิษย์ที่โชคร้ายอย่างเสวียนเสี่ยวซื่อพูดอย่างกลัว ๆ
“หุบปากซะ” ตาเฒ่าตะคอกใส่
“พวกเจ้าสองคนตามข้าเข้ามา” เขาพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง
ภายในห้อง
เสวียนจีจือนั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักและหลับตาสงบใจ ท่าทีดูลึกลับคาดเดาไม่ออก ซูเย่ว์หยิบน้ำขึ้นมาชงชาให้ตาเฒ่า และเสวียนเสี่ยวซื่อก็ทำตัวประจบประแจงหยิบถ้วยชาไปยื่นให้กับอาจารย์ “อาจารย์ขอรับ เร็วเข้า เชิญดื่มนี่ขอรับ ใบชานี้ศิษย์น้องเป็นคนทำขึ้นมา ท่านลองดื่มดู”
“ชาที่ศิษย์น้องของเจ้าชงคารวะให้ข้า ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ ฮึ” ตาเฒ่าจิบชาทันทีหนึ่งจิบ แล้วก็จิบต่ออีกครั้ง “ไม่เลว ๆ ใบชานี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
“เสี่ยวอู่ เจ้ายังมีใบชาแบบนี้เหลืออยู่เท่าไรหรือ เหลือไว้ให้อาจารย์สักหน่อย ไม่เช่นนั้นรอให้เจ้าลงเขาไปแล้ว อาจารย์ก็จะไม่มีชาให้ดื่มแล้ว” เสวียนจีจือพูดอย่างพอใจ
“ลงจากเขา อาจารย์จะบอกว่าให้ข้าลงเขาตามศิษย์น้องหญิงไปงั้นหรือ?” เสวียนเสี่ยวซื่อพูดอย่างดีใจ
“อาจารย์ ข้าไม่อยากลงเขาไป ถ้าศิษย์พี่สี่อยากลงไป ก็ให้ตัวเขาลงไปเถอะ” ซูเย่ว์พูดอย่างเรียบเฉย
“เสี่ยวอู่ เจ้าโง่หรือไง อยู่บนเขามาสิบกว่าปีแล้ว เจ้ายังเล่นไม่พออีกหรือ พวกเราลงเขาไปดูกันสักหน่อยสิ” เสวียนเสี่ยวซื่อพูดอย่างตึงเครียด กลัวว่าศิษย์น้องหญิงจะไม่ยอมออกไป ตัวเขาเองก็ไปไหนไม่ได้เช่นกัน
เขาดึงแขนเสื้อของศิษย์น้องหญิง แล้วกระซิบเสียงเบาๆ “ลงจากเขาแล้วพวกเราก็สามารถไปเจอกับศิษย์พี่ใหญ่ได้ ตอนนี้เขาขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว พวกเราไปถล่มศิษย์พี่ใหญ่ให้พาพวกเราไปกินของอร่อย ๆ กันเถอะ” เสวียนเสี่ยวซื่ออยากไปหาโอวหยางซวี่ท่าเดียว น่าจะบอกว่าเขาอยากไปชิมเป็ดย่างที่โอวหยางซวี่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้เสียมากกว่า
เสวียนจีจือดื่มชาต่อ และผ่านไปสักพักถึงจะกล่าวขึ้นมา “เสี่ยวอู่ เจ้าไม่อยากรู้ชาติกำเนิดของเจ้าสักนิดเลยหรือ?”
ดวงตาของซูเย่ว์กระตุกเล็กน้อย : มีอะไรให้ต้องสงสัยกัน ในตอนที่เพิ่งจะทะลุมิติมาตอนนั้น ท่านแม่ของนางคนนั้นได้บอกในสิ่งที่ควรบอกหมดแล้ว แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าทารกแรกเกิดคนนั้นจะสามารถฟังเข้าใจก็ตาม
ประสบการณ์ของชาติที่แล้ว ทำให้จิตใจของนางเหน็บหนาวและอ้างว้างมานานหลายปี แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นนางรู้สึกซาบซึ้งใจต่อนาง ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงพี่ชาย และตระกูลท่านตา...เฮ้อ หลายปีมานี้นางไม่อยากไปคิด เพราะว่าพอคิดแล้วก็จะรู้สึกผิดต่อผู้หญิงคนนั้นที่เสี่ยงชีวิตคลอดนางออกมา
แต่ว่าตอนนี้...
ซูเย่ว์รู้มาตลอดว่าพี่ชายแท้ ๆ ของนางอยู่ในวังหลวง และตระกูลของท่านตาของนางก็อยู่ที่ฝั่งชายแดน ส่วนพ่อไม่ได้เรื่องคนนั้น ช่างมันเถอะ
และพิษที่ศิษย์พี่สามส่งมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางก็ศึกษาตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก นั่นเป็นเพราะว่านางรู้ว่าเพื่อนเพียงคนเดียวของศิษย์พี่สามก็คือแม่ทัพน้อยแห่งจวนแม่ทัพเจิ่นกั๋วนามว่าซูอวี้ และซูอวี้คนนี้ถ้าคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็นญาติผู้พี่ของนางนั่นเอง แต่แค่ไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกของน้าคนไหนก็เท่านั้น ดังนั้นจิตใต้สำนึกของซูเย่ว์ก็เป็นห่วงพวกญาติๆที่ไม่เคยได้พบหน้ากันนี้เหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาอาจไม่รู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของนางก็ตาม
“ท่านยายของเจ้า สุขภาพไม่ค่อยดีมาโดยตลอด เจ้าโตขึ้นแล้วจำไว้ว่าต้องกตัญญูต่อท่านให้มากๆแทนแม่...”
ซูเย่ว์ : แบบนี้ไม่ดีหรือ? พืชยาสมุนไพรออกจะน่ารักจะตาย อีกอย่างข้าไม่ได้หลีกหนีสักหน่อย ข้าขี้เกียจจะไปหาเรื่องใส่ตัวต่างหาก ผู้คนตั้งมากมายและความสัมพันธ์ก็สลับซับซ้อนอีกด้วย แค่นึกถึงก็น่ากลัวแล้ว เฮ้อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่ไร้เทียมทานในต่างโลก