“คุณหนูฉิน คุณไปไหน?” บนทางเดิน ลู่เยว่ที่เพิ่งจะดูแลซุนหมิงเทาเสร็จมองไปยังฉินหยู่ซินพลางตะโกนเรียก
เพียงแต่ว่าฉินหยู่ซินไม่สนใจเขาเลยโดยสิ้นเชิง ไม่นานก็หายไปจากปากบันได
“ขวางหยู่ซินไว้!” หลังจากที่หลิงห้าวพุ่งออกมาจากห้องแล้วก็ตะโกนเสียงดัง
พอได้ฟังการร่ำไห้ของฉินหยู่ซินเมื่อครู่แล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้มากว่าตนจะเข้าใจอีกฝ่ายผิดไปอย่างไม่ชัดเจน
“ครับ!” ลู่เยว่หันกลับไปไล่ตาม
เพิ่งวิ่งไปได้ไม่ถึงสองก้าว เสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาวิ่งไปด้วยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับไปด้วย
“จริงเหรอ!?” นาทีต่อมา ลู่เยว่ก็หยุดฝีเท้าลง
ไม่รู้ว่าปลายสายพูดอะไรต่อ คิ้วของเขาขมวดขึ้น “ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”
“ทำไมเหรอ?” ตอนนี้หลิงห้าววิ่งมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
“จับตัวสี่คนที่จับตัวหรุ่ยหรุ่ยไปได้แล้วครับ!” หลังจากที่ลู่เยว่วางสายโทรศัพท์ไปก็เอ่ยเสียงต่ำ “แต่ตายไปแล้ว!”
“หืม!?” หลิงห้าวขมวดคิ้ว ทอดสายตามองไปยังทิศทางที่ฉินหยู่ซินหายตัวไป หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ไปดูกันก่อน!”
สำหรับเขาในตอนนี้แล้ว การช่วยชีวิตหรุ่ยหรุ่ยสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น!
บรื้น!
สามนาทีต่อมา ลู่เยว่เหยียบคันแร่งลงไป รถยนต์พุ่งทะยานออกไป
“ท่านผู้บังคับบัญชาครับ ท่านน่าจะเข้าใจคุณหนูฉินผิดแล้ว!” ลู่เยว่ขับรถไปด้วยพูดไปด้วย
“ผมไปถามคุณชายตระกูลซุนคนนั้นมาแล้ว วันนี้คุณหนูไปหาเขาเพราะจะขอร้องเขาให้ช่วยตามหาหรุ่ยหรุ่ยครับ”
“จากที่เขาพูดมา คุณหนูฉินเองก็ไม่รู้ว่าใครจับตัวหรุ่ยหรุ่ยไปครับ!”
“หลังจากเกิดเรื่องขึ้น คุณหนูฉินก็ร้อนรนจนแทบเสียสติไป ไปขอให้คนอื่นช่วยเหลือทุกหนทุกแห่ง แต่คนที่มีความสามารถช่วยเหลือเธอได้ก็ไม่มีใครยินดีเข้าช่วยเหลือเลย”
“เธอเองก็แจ้งตำรวจแล้ว แต่จนถึงตอนนี้แล้วก็ไม่มีเบาะแสหรือความคืบหน้าใด ๆ!”
“ภายใต้ความอับจนหนทาง เธอทำได้แค่มาอ้อนวอนซุนหมิงเทา ซุนหมิงเทาเสนอเงื่อนไขหนึ่งข้อ ช่วยตามหาหรุ่ยหรุ่ยได้ แต่ต้องให้คุณหนูฉินเธอ...”
“คุณหนูฉินโดนบังคับอย่างจำใจ เพื่อที่จะตามหาหรุ่ยหรุ่ยให้เจอ เธอไม่มีทางเลือก!”
“อืม!” หลิงห้าวหยักหน้าน้อย ๆ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ
ความทุกข์ใจจากความละอายที่อยู่ในใจปะทุขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับน้ำป่าไหลหลาก ทั้งตัวสั่นสะท้านเบา ๆ อย่างควบคุมไม่อยู่
ตนเองไม่ได้เรื่องจริง ๆ!
ตอนที่ฉินหยู่ซินทุกข์ทรมานที่สุด ไร้การช่วยเหลือที่สุด เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ปลอบใจเธอให้ดี ๆ กลับสงสัยเธออย่างนั้น เขาเป็นผู้ชายที่เสียเปล่าจริง ๆ!
ถุย!
นาทีต่อมาเขาก็อ้าปากถ่มเลือดคั่งคำใหญ่ออกมา ในขณะเดียวกันลมปราณทั้งตัวของเขาก็สับสนเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านผู้บังคับบัญชา!” ลู่เยว่ร้องตะโกนออกมาทันที “ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
“ท่านอย่ารู้สึกผิดมากไปเลย ใส่ใจสุขภาพด้วยครับ ท่านมีแผลเก่าอยู่กับตัว ร้อนใจไปจะทำอาการของท่านแย่ลงอีกขั้นนะครับ!”
ในฐานะที่เป็นรองผู้บังคับบัญชาการของหลิงห้าว เขารู้ถึงสภาพอาการบาดเจ็บบนร่างกายของหลิงห้าวดี
เมื่อสองปีก่อน ในสงครามที่หลิงห้าวต่อสู้กับสิบประเทศบนสุด แม้ว่าสุดท้ายจะได้ศีรษะของฝ่ายตรงข้ามสิบคนมาได้
แต่ตัวเขาเองก็ถูกฝ่ายตรงข้ามสิบคนทำให้เจ็บหนัก บาดเจ็บจนถึงรากฐาน การบำเพ็ญตนหย่อนลงมาเยอะ
แม้ว่าฝีมือทางการแพทย์ของหลิงห้าวจะน่าเหลือเชื่อเหมือนกันกับวิชาการต่อสู้ของเขา
แต่แพทย์ไม่สามารถรักษาตัวเองได้ อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังสาหัสเกินไปจริง ๆ ไม่มีความเป็นไปได้ใด ๆ เลยที่จะสามารถรักษาให้หายได้ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำได้เพียงอาศัยให้เวลาฟื้นฟูอย่างช้า ๆ
“ฉันไม่เป็นไร!” หลิงห้าวยกมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือด “เร็วอีกหน่อย!”
“ครับ!” ลู่เยว่เพิ่มความเร็วแล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ท่านผู้บังคับบัญชา ท่านอย่าร้อนใจไปเลย หรุ่ยหรุ่ยจะต้องไม่เป็นไรแน่ครับ!”
หลิงห้าวไม่ตอบรับคำพูดของเขา สายตาราวกันเป็นประกายแสง จ้องไปยังด้านหน้า รังสีสังหารตลบอบอวลไปรอบ ๆ
สี่สิบนาทีหลังจากนั้น ลู่เยว่ก็จอดรถอยู่ที่จุดรับซื้อของเก่าและชำรุดแห่งหนึ่ง
ทั้งสองคนทอดสายตามองไปยังที่ไม่ไกล พนักงานที่สวมชุดเครื่องแบบตำรวจพิเศษสี่สิบห้าสิบคนล้อมรอบอยู่ข้าง ๆ รถคันเล็ก ๆ คันหนึ่งพลางปรึกษาอะไรกัน
“สวัสดีครับท่านเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้งสองท่าน ขอถามหน่อยครับ ท่านไหนคือเจ้าหน้าที่อาวุโสลู่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติสิงห์ร้ายดินแดนมืด
ไม่ลงตอนต่อไปแล้วหรอค่ะ...
รอๆๆๆ...