เห้อเหลียนฉางเซิงยังคงทำท่าทางเหมือนอย่างเคย เขาก้าวเท้าช้าๆ เดินกลับไปราวกับต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้วิ่งเล่น
เฟิงฉิ้นหว่านมองนางพลางพยายามที่จะเม้มปากแน่นเพื่อให้ท่าทางของตนดูจริงจัง แต่สุดท้ายก้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ออกมา
ท่านชายน้อยผู้นี้ถูกเลี้ยงให้มีนิสัยใสซื่อบริสุทธิ์ คนเช่นนี้เติบโตมาในวังหลวงที่มีแต่ความดำมืดจึงเปรียบราวกับแสงสว่าง มิน่าสุดท้ายเขาจึงเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อเห้อเหลียนฉางเซิงเดินห่างออกไปไกลแล้ว อานผิงอ๋อง ก็เดินตามมา
“แม่นางเฟิง ร่างกายของฉางเฟิงตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่”
“ก่อนหน้านี้อาการของเขาร้ายแรงมาก ตอนนี้จึงยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิดไปก่อนเจ้าค่ะ”
อานผิงอ๋อง พยักหน้าและเตรียมจะพูดต่อ แต่เฟิงฉิ้นหว่านกลับเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านอ๋องไม่ต้องกล่าวคำขอบคุณแล้ว ขอบคุณกันไปกันมาแบบนี้ไม่สู้หาทางวางแผนจัดการหยุนเลี่ยวจะดีกว่า”
“แม่นางเฟิงกล่าวถูกต้อง” สีหน้าของอานผิงอ๋อง หมองคล้ำลง “หยุนเลี่ยวคบคิดกับหมอเทวดาจัดการข้า ตอนนั้นข้าเป็นห่วงร่างกายของฉางเซิงมากเกินไป จึงได้แต่สั่งให้คนไปจับตาดูเขาเอาไว้ เมื่อวานจึงได้รับรายงานว่า หมอเทวดาผู้นั้นได้หายตัวไปแล้วตามที่แม่นางเฟิงกล่าวจริงๆ”
“คนทั้งคนคงไม่สามารถหายไปเฉยๆ ได้แน่ เพียงแต่เวลาผ่านไปสองวันแล้ว คงเหลือร่องรอยให้ติดตามไม่มากนัก ท่านอ๋องจึงต้องยอมรับความลำบากในข้อนี้”
“แม่นางเฟิงพอทราบหรือไม่ว่า ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังหยุนเลี่ยวคือใคร”
“ท่านอ๋องคิดจะทำอะไรหรือ”
“หมาตัวนี้กัดคน ลำพังเพียงตีหมาให้ตายอย่างเดียวคงไม่พอ อย่างน้อยๆ ก็ต้องตามหาเจ้าของของมันให้เจอด้วยเพื่อถามไถ่ให้แน่ชัดว่าเพราะเหตุใดถึงปล่อยหมาออกเพ่นพ่านแบบนี้” สีหน้าของอานผิงอ๋อง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“แต่ก็มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่าจะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของก่อน ท่านอ๋องคิดจะตีหมาให้ตาย คงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น”
“ทำในที่แจ้งคงไม่ได้ แต่หากจัดการในที่ลับ แค่หมาตัวเดียวคงไม่ต้องทำอะไรให้มากความ”
ดวงตาของเฟิงฉิ้นหว่านเริ่มเคลื่อนไหว แววตาของนางส่องประกายออกมา “ดูท่าแล้วท่านอ๋องน่าจะมีแผนการของตัวเองแล้ว อย่างนั้นฉิ้นหว่านจะไม่พูดอะไรให้มากความ แต่ข้าเคยได้ยินมาว่าสองพี่น้องหยุนเลี่ยวและหยุนฮั่นกำลังแย่งตำแหน่งเจ้าตระกูลกันอยู่ นอกจากนี้แล้วเบื้องหลังของสองพี่น้องน่าจะยังมีการขัดแย้งอื่นๆ อยู่อีก ตอนที่ท่านอ๋องจะจัดการสุนัขก็ควรพิจารณาเรื่องนี้ด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้อานผิงอ๋อง มาจัดการหยุนเลี่ยว นางจึงไม่จำเป็นต้องออกแรง จะได้ประหยัดเวลาเอามาจับตาดูตระกูลหยุนให้ดี
“ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ช่วยเตือน ข้าพอมีแผนการอยู่บ้างแล้ว” ขัดแย้งกันสิดี สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือสามัคคีกัน
“ตอนนี้ท่านชายน้อยยังไม่มีอะไรน่าห่วง ตัวข้าเองก็ออกจากเมืองมานานแล้ว ตอนนี้หอหญิงงามเมืองคงต้องการให้ข้าช่วยออกหน้าให้แล้ว ดังนั้นเดี๋ยวข้าขอตัวกลับเข้าเมืองก่อน”
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะจัดคนให้ช่วยคุ้มครองแม่นางเข้าเมือง”
“อือ”
ออกจากบ้านตระกูลเฟิงมาสามวันกว่าจะได้กลับ ตอนนี้เฟิงฉิ้นหว่านอารมณ์ดีอย่างยิ่ง
“ไปๆ มาๆ อย่างนี้ทำให้รู้สึกว่าบ้านของตัวเองสบายที่สุดแล้ว”
เสิ่นเยว่หัวเราะเบาๆ อยู่ข้างๆ กายนาง และสั่งการให้คนนำของที่อานผิงอ๋อง มอบให้นำไปเก็บในห้องเก็บของ
“ข้าเห็นว่าของที่อานผิงอ๋อง มอบให้มีผ้าเสว่ตวนสองผืน ได้ยินมาว่าเป็นของที่เป็นที่นิยมมากในเมืองหลวง เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะเย็บชุดกระโปรงหลัวให้ลูกด้วยตัวเอง”
เฟิงฉิ้นหว่านเกาะแขนเสิ่นเยว่เพื่อเป็นการออดอ้อน “ข้าชอบใส่เสื้อผ้าที่ผ่านแม่เย็บให้ที่สุด แต่ไม่อยากให้ท่านแม่ต้องเหนื่อยเกินไป ข้าเลยคิดว่าจะเชิญช่างเย็บผ้ามาทำให้ ท่านแม่เพียงช่วยเย็บบนชุดสักสองสามเข็มก็พอ”
“ไปยุ่งธุระของเจ้าเถิด ไม่ต้องกังวลทางแม่ แม่มีความสุขที่ได้ทำเสื้อผ้าให้ลูกใส่”
เฟิงฉิ้นหว่านอยากจะพูดต่อ แต่เสิ่นเยว่ก็ไล่นางให้ไปพักผ่อนเสียก่อน
สองวันนี้ นางต้องคอยจับตาดูแลเห้อเหลียนฉางเซิง คอยต้มยาและคอยดูแลอาหารการกินของเขา ทำให้นางไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่นาทีเดียว ทำให้เฟิงฉิ้นหว่านเองก็รู้สึกเหนื่อยมากเช่นกัน เมื่อล้มตัวนอนบนเตียงไม่นาน นางก็หลับไปทันที
ในขณะที่นางกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้น ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าต่าง
“เหว้ยหลัน?”
เฟิงฉิ้นหว่านลืมตาแล้วมองผ่านม่านคลุมเตียงออกไปจึงเห็นเงาคนกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง หัวใจของนางเต้นระส่ำ จากนั้นจึงเอามือคลำหากริชที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ