สีหน้าฉินฮั๋วเหนียนมีความตื่นเต้นเร้าใจเป็นอย่างมาก “คุณหนู ตอนนี้ศึกษาเทคนิคการปักเย็บของตระกูลหลินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
“หลินชิวหยุนเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ตอนเด็ก ท่านแม่ของนางเคยสอนนางเกี่ยวกับการปักเย็บ ถึงแม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้มีการลืมไปแล้วบ้าง ค่อยๆนึกย้อนกลับไป รวมถึงความช่วยเหลือจากเหล่าแม่นางปักเย็บ คงพอแล้วแหละ”
ฉินฮั๋วเหนียนพบว่าตอนที่เฟิงฉิ้นหว่านได้พูดคำนี้ สีหน้าได้มีความหนักใจ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู ในเมื่อการศึกษาเทคนิคการปักเย็บนั้นไม่ใช่ปัญหา แล้วทำไมสีหน้าเจ้าดูเหมือนมีเรื่องหนักใจละ?”
“การโฆษณาเทคนิคการปักเย็บนี้ไม่ใช่ว่าแค่คืนเดียววันเดียวก็เสร็จสิ้นแล้ว อีกอย่างเรื่องที่พวกข้าต้องควบคุมนั้นมีมากเกินไป การค้าขายหลายอย่างยังคงอยู่ในระหว่างสถานการณ์การแพร่ขยาย หากว่าได้มีการโฆษณาเทคนิคการปักเย็บมาเพิ่ม เกรงว่าจะเหมือนกับกินเยอะไม่ย่อยตอนสุดท้ายการค้าขายพังทลายลง การโฆษณาเทคนิคการปักเย็บก็แพร่ออกไปไม่ได้”
ฉินฮั๋วเหนียนพยักหน้า “คุณหนูพูดมีเหตุผล ไม่รู้ว่าฝั่งท่านชายฟู่จะช่วยได้หรือไม่?”
“ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ท่านชายฟู่ออกจากเมืองหลวงไม่ได้ในขณะนี้ ตามที่ข้าทราบ คนของเขาที่ถนัดเรื่องดำเนินกิจการคือจินหมิงและฉียุ่นเซิง แต่เขาก็ได้ช่วยข้านู่นนี่นั่นแล้ว ก็คงเป็นการมีใจอยากทำแต่ไม่มีกำลังมากพอแล้วสิ”
ฉินฮั๋วเหนียนคิดอย่างละเอียด คิ้วยิ่งอยู่ยิ่งขมวด “ถ้าแบบนี้แล้วคุณหนูมีวิธีการแก้ปัญหาหรือยัง? ท่านกับท่านชายฟู่ก็ไม่มีเวลาทั้งคู่ ไม่ควรหาผู้อื่นหรอก?”
เดิมเฟิงฉิ้นหว่านยังคงคิดหนัก ได้ยินคำนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “เมื่อกี้ลุงฉีบอกจะหาคนอื่น?”
ฉินฮั๋วเหนียนรู้สึกตะขิตตะขวงใจ “ข้าก็แค่พูดเล่นๆเอง เพราะการโฆษณาเทคนิคการปักเย็บนี้หากสำเร็จขึ้นมา เป็นความสำเร็จใหญ่โตชัดๆตามหลักแล้วไม่ควรให้คนรอบข้าง เว้นแต่มีคนช่วยช่วยเพียงแต่ออกแรง ไม่แย่งกิจการ แต่นี่จะเป็นไปได้หรือ?”
สายตาเฟิงฉิ้นหว่านมีแสงแวบผ่านไป “ข้อแนะนำเมื่อกี้ของลุงฉีก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี”
“คุณหนูท่านพูดจริงหรือ?”
ไม่หรอกมั้ง ยังมีคนโง่ขนาดนี้อีกหรือ?
“ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการค้าขายพวกนั้นเป็นสิ่งที่พวกข้าต้องคว้าไว้ในฝ่ามือ การโฆษณาเทคนิคการปักเย็บนี้หากว่าสำเร็จก็เป็นเรื่องที่ดี หากว่าไม่สำเร็จ มีคนช่วยโฆษณาออกไป การขายเหล่าไหมดิบ สิ่งทอแพร ไหมปักก็ยังคงไม่เป็นเรื่องน่ากังวลใจ สามารถไปถึงเป้าหมายของพวกข้าได้เหมือนกัน”
เฟิงฉิ้นหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีการนี้ใช้ได้
ฉินฮั๋วเหนียนกลับรู้สึกกังวลใจ “คุณหนู แบบนี้ได้จริงหรือ? ใครจะยอมช่วยพวกข้าเปล่าๆละ ยังไม่ขอสิ่งตอบแทนอีก?”
ทันใดเฟิงฉิ้นหว่านได้หัวเราะ “ลุงฉีคิดว่าพระองค์ชายสองกับพระราชินีเกาเป็นอย่างไร?”
“พวกเขาสองคน?”
“ถูกต้อง ตระกูลหยุนสนับสนุนพระองค์ชายสอง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ตระกูลหยุนได้เติบโตอย่างใหญ่หลวง พระองค์ชายสองกับพระราชินีเกาก็ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก พระองค์ชายสองไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าองค์ชายสาม แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้กลับทะเลาะแย่งชิงกับเขาอย่างไม่แยกแยะตำแหน่ง กับลับหลังการสนับสนุนจากตระกูลหยุนยึดมั่นอย่างถอนความสัมพันธ์ไม่ออก องค์ชายสามก็ถูกกดขี่อย่างหนักแน่นเกินไปแล้ว จึงได้ตั้งหอเซียวเซียงจุ๋นกับเรือนไป๋เซียงที่แบบนี้อย่างไม่กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น……จากนี้จะเห็นได้ว่า ฟู่ยี่ ผู้คนที่สองของตระกูลหยุนเป็นผู้ครองตำแหน่ง”
“คุณหนูพูดมีเหตุผล”
“วันนี้ตระกูลหยุนได้ล้มละลายลง พระองค์ชายสองกับพระราชินีเกาคงตื่นตระหนกอย่างไร้ทางออกละสิ? หากข้าสามารถส่งโอกาสให้ ให้เขาเห็นตระกูลหยุนกลับมาเติบโตอีกครั้ง แม้กระทั่งแค่ก้าวขึ้นชั้นเดียว เจ้าว่าเขาสองคนจะคว้าโอกาสอย่างแน่นไม่ปล่อยเลยไหม?”
“ที่คุณหนูพูดคือการโฆษณาเทคนิคการปักเย็บนี้?”
“ถูกต้อง ส่งความรู้ต่อให้คนอื่น ไม่เท่ากับสอนเทคนิคการเรียนรู้ให้คนอื่น หากตระกูลหยุนสามารถรักษาโอกาสการโฆษณาเทคนิคการปักเย็บนี้ ต้องถูกใจฝ่าบาทแน่นอน ได้ทำคุณงานความดีไว้ พระองค์ชายสองกับพระราชินีเกาก็คงได้รับผลประโยชน์ใหม่อีกครั้ง พวกเขาต้องคอยระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมากแน่นอน พยายามสุดกำลัง”
“วิธีการของคุณหนูดีมาก แต่ว่าพระองค์ชายสองกับพระราชินีเกาจะไม่สังเกตเห็นความประหลาดในท่ามกลางนี้หรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเเสดงละครอย่างดีสักเรื่องหนึ่ง นำคนเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ให้หมด”
ดวงตาเฟิงฉิ้นหว่านค่อยๆขยับสักพัก ทันใดนั้นค่อยๆยกรีมฝีปากขึ้น รอยยิ้มอ่อนๆได้ห้อยไว้ตรงรีมฝีปาก
“ละครครั้งนี้ต้องเล่นดีๆ เพราะเกี่ยวข้องกับการค้าขายอันใหญ่โต!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ