ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 145

สรุปบท ตอนที่ 145 ร้อนรน: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่ 145 ร้อนรน จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 145 ร้อนรน คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 145 ร้อนรน

คนที่มาถึงก่อนเชียนซานก็คือหลี่เฉินเย่น!

ชูเซี่ยรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มต้องมาหานางแต่นางก็นึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเร็วถึงเพียงนี้ เรื่องที่นางอยู่ที่จวนใต้เท้าซือคงเพื่อช่วยเหลือคนคาดว่าหลางเยว่ก็คงเล่าให้เขาฟังแล้ว แต่ทว่าก่อนที่นางจะออกจากวังมาเขาก็ถูกรายล้อมทั้งงานราษฎร์และงานหลวงมากเสียจนนางคิดว่าเขาคงมาหานางได้ในวันพรุ่งนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะสามารถจัดการงานเป็นร้อยได้เสร็จรวดเร็วถึงเพียงนี้

ไม่มีราชองครักษ์ติดตามเขามาเลยสักคนมีเพียงแค่เสี่ยวซานจื่อและจงเจิ้งที่ติดตามเขามาเท่านั้น

ชายหนุ่มก้าวเท้าเร็วๆมารวบร่างของชูเซี่ยเข้ามาในอ้อมกอดของเขาจากนั้นก็สูดลมหายใจลึกๆแล้วก็ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา “คิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”

หัวใจของชูเซี่ยปวดหนึบ ห่างกันเพียงไม่กี่วันนางก็รู้สึกราวกับทั้งโลกเหลือนางเดียวดายอยู่เพียงแค่คนเดียวแล้ว เขาคิดถึงนาง ตัวนางเองก็คิดถึงเขาแทบบ้า ความรักของคนมักจะมีความขมขื่นเก้าส่วนความหวานเพียงส่วนเดียวจริงๆ

คนทั้งคู่กอดกันอีกสักพักจากนั้นก็ค่อยๆจับจูงกันไปนั่ง

ชูเซี่ยตั้งใจจะลุกไปรินน้ำชาให้เขาแต่ทว่ากลับถูกชายหนุ่มรั้งไว้ทั้งยังออกแรงฉุดจนนางล้มลงนั่งบนตักของเขาพอดิบพอดี หลี่เฉินเย่นมองดวงตาแดงก่ำและใบหน้าเหนื่อยล้าของนางก็รู้สึกเวทนาสงสาร “เหนื่อยมากใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยฉีกยิ้มให้เขาจนเห็นฟันครบทุกซี่ นางส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ แต่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยก็คุ้มค่า!”

ชายหนุ่มเข้าใจความหมายของนาง ในใจของเขาก็ทุกข์ทรมานยิ่งนัก ยามนี้เขาเป็นถึงฮ่องเต้แล้วแต่ทว่านางยังทุ่มเททั้งกำลังกายกำลังใจ ทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้อยู่ข้างกายของเขา

“เจ้าช่วยเหลือทั้งภรรยาและหลานชายของเขา หากเขายังยืนกรานจะให้เจ้าจากไปข้าจะไม่ขอทนอีกต่อไปแน่!” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นเป็นประกายเย็นชา ทั้งยังกัดฟันพูดอย่างคนที่ใกล้จะหมดความอดทนเต็มที

ชูเซี่ยเอื้อมมือออกไปลูบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มเบาๆ “พวกเรายังมีเวลาเหลืออยู่อีกมากไม่จำเป็นต้องใจร้อนไปหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างท่านใต้เท้าซือคงเพียงแค่จงรักภักดีต่อแว่นแคว้นและประชาชนเท่านั้น แรกเริ่มเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายข้า...”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนเขาอีกแล้ว ใครหน้าไหนที่กล้าขัดขวางไม่ให้เราได้อยู่ด้วยกันข้าล้วนถือว่ามันเหล่านั้นเป็นศัตรู!” ประโยคที่เขาพูดออกมาช่างฟังดูจริงใจและไร้เดียงสาเหลือเกินในสายตาของนาง จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยต่อ “เส้นทางของพวกเราแต่ไรมาก็เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ถึงความลำบากของเราทั้งสอง เดิมข้าคิดว่าเวลาแห่งความทุกข์ทรมานของเราสองถึงคราวสิ้นสุดแล้วแต่กลับต้องมาทนฟังเสียงคัดค้านของผู้อื่นอีก คุณธรรมอะไรเหล่านั้นสำคัญมากจริงๆอย่างนั้นหรือ? หากว่ามันสำคัญจริงๆต่อนั้นเสด็จพ่อก็คงไม่รับเจ้าเข้าวังทั้งๆที่รู้ฐานะแท้จริงของเจ้าอยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ”

“ถ้าเราบอกว่าเราต้องเคารพข้อเท็จจริง เช่นนั้นเรื่องความจริงที่ว่าเจ้าเป็นภรรยาของข้าหลี่เฉินเย่นอยู่ก่อนแล้วก็นับว่าถูกต้อง หากว่าวันนี้ข้ายืนกรานจะแต่งกับเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่หรือ เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงหรอกนะ คนที่เลือกอยู่ฝ่ายข้ามีมากกว่าฝ่ายคัดค้านเสียอีกเพราะไม่ว่าใครก็ทราบดีว่าก่อนที่เจ้าจะเข้าวังเจ้าอาศัยอยู่ในจวนอ๋องของข้าอยู่ช่วงหนึ่ง มีคนมากมายที่รู้ว่าเรารักกัน!”

ชูเซี่ยมองเขาอย่างประหลาดใจ “มีคนรู้เรื่องที่ข้าพักในจวนของท่านนั่นไม่แปลก แต่ทว่าที่ท่านบอกว่าเรารักกันมีใครรู้ที่ไหนกันเล่า”

“ไม่ผิด” ชายหนุ่มจ้องมองนางก่อนจะเผยยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าจัดการปล่อยข่าวลือออกไปแล้วว่าตอนนั้นเพื่อช่วยข้าแล้วเจ้าจึงยอมถวายตัวเข้าวัง และตอนที่เจ้าอยู่ในวังก็ไม่เคยถูกอดีตฮ่องเต้แตะต้องมาก่อน คนที่ต้องถูกตำหนิควรเป็นอดีตฮ่องเต้ ไม่ใช่เจ้าหรือข้า แต่เป็นพระองค์ต่างหาก!” จนถึงตอนนี้หลี่เฉินเย่นก็ยังเคียดแค้นชิงชังในตัวอดีตฮ่องเต้จนไม่อาจเรียกอีกฝ่ายว่าเสด็จพ่อได้อีก

ชูเซี่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตอนนี้เขาเป็นโอรสสวรรค์เป็นถึงฮ่องเต้ ไม่ว่าเขาตรัสอะไรก็ล้วนเป็นจริงตามนั้น ยามนี้เขากำลังเลือกใช้บทบาทโอรสผู้น่าสงสารที่ถูกอดีตฮ่องเต้ซึ่งเป็นบิดาแท้ๆของเขาทำร้ายเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากขุนนางและเหล่าประชาราษฎร์ แต่ทว่าชูเซี่ยก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่ดี สำหรับนางแล้วนางไม่ขอให้ตนเองมีตำแหน่ง ไม่ขอตำแหน่งพระสนมหรืออะไรทั้งสิ้น นางขอแค่นางสามารถอยู่ข้างกายเขาต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นนางไม่เคยใส่ใจต่อเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางพวกนั้นด้วยซ้ำ นางสนใจแค่ว่าเหล่าขุนนางที่ต่อต้านพวกนั้นเขาจะไม่พอใจในตัวของหลี่เฉินเย่นหรือไม่ก็เท่านั้น ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดปัญญากับอำนาจการปกครองและทำให้บัลลังก์ของเขาสั่นคลอนก็เป็นได้

เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่กับนางได้เพียงแค่ครึ่งชั่วยามก็ต้องไปแล้วเพราะว่าท่านจิ้งกั๋วโฮ่วทั้งสองกำลังรอคอยเขาอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรในวัง ยังมีเรื่องการเมืองอีกมากที่พวกเขาต้องปรึกษาหารือกันดังนั้นต่อให้ไม่อยากจากนางก็จำเป็นต้องจาก

หลี่เฉินเย่นเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กของนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของชายหนุ่มขมวดแน่น ดวงตาคมฉายแววเศร้าสร้อยขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเย้ยหยัน โลกใบนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ยามนี้เขาได้เป็นถึงฮ่องเต้ เป็นโอรสสวรรค์ แต่แม้แต่สตรีที่เขารักก็ยังไม่สามารถเลือกนางมาเป็นคู่ครองได้ มีหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าชูเซี่ยเป็นผู้ตัดสินจะออกจากวังไปเอง นางคิดว่าเขาไม่รู้ว่านั่นเป็นความคิดของนางที่จะออกจากวังแต่แรกแล้ว แล้วเขาจะขัดขวางนางได้ที่ไหนกัน ไม่ เขารู้จักนางดีเกินไป หากว่าเขาขัดขวางนาง ด้วยนิสัยของนางแล้วสุดท้ายก็จะหาทางหนีออกมาเองมากกว่าซึ่งเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่ เขาจึงยอมปล่อยให้นางออกจากวังแต่โดยดีแต่ก็ยังสั่งให้องครักษ์คอยจับตามองและคุ้มกันนางอยู่ห่างๆได้ เรื่องทุกเรื่องของนาง ไม่ว่าจะไปที่ไหนพบเจอผู้ใดบ้างก็ล้วนมีคนมารายงานเขาอยู่เสมอ

เรื่องครั้งนี้ที่เกิดกับจวนใต้เท้าซือคงก็เช่นกัน เรื่องนี้นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับเขาอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากว่าเรื่องที่ชูเซี่ยช่วยชีวิตคนในจวนนั้นไว้ไม่อาจเปลี่ยนใจของใต้เท้าซือคงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเขาเลือกใช้วิธีที่โหดร้ายก็แล้วกัน

ระหว่างที่นั่งรถม้ากลับวังหลวงจงเจิ้งก็ถอนหายใจจออกมา “ฝ่าบาท ท่านหมอเวินผอมลงมากเหลือเกิน!”

หัวใจของหลี่เฉินเย่นอัดแน่นก่อนจะระบายลมหายใจออกมายาวๆ “นางชอบเก็บเรื่องมากมายไว้กับตัวแม้กับเรานางก็ยังไม่ยอมระบายออกมา เป็นเช่นนี้ต่อไปอย่ามาแต่จะผอมลงเลย อีกไม่นานนางจะต้องป่วยแน่!”

เสี่ยวซานจื่อจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง “โชคยังดีที่นางมีท่านหมอจูเก๋ออยู่ข้างกาย!”

คำพูดของเสี่ยวซานจื่อไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีแม้แต่น้อย ครั้งหนึ่งจูเก๋อหมิงและหลวี่หนิงเคยเป็นสหายรักของเขาทั้งคู่ ถ้าหากเทียบหลวี่หนิงกับจูเก๋อหมิงเขาย่อมสนิทสนมกับจูเก๋อมากกว่า จูเก๋อเข้าใจมาตลอดว่าที่ตัวเขากำลังเผลอใจให้กับชูเซี่ยมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคิดว่านั่นเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง จึงเอาแต่หลอกตัวเองอยู่เสมอและไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น ดังนั้นทุกวันนี้ที่เขาพบกับสหายรักคนนี้ก็มองหน้ากันไม่ค่อยติดเท่าใดนัก

ตัวเขาไม่เคยโกรธหรือเกลียดจูเก๋อแม้แต่น้อยแต่ทว่าก็ไม่รู้จะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไรดี และเขาก็รู้ว่าจูเก๋อเองก็ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเขาเช่นไรเหมือนกัน

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะฝ่าบาท ยามนี้อาการป่วยของโหร่วยเฟยดีขึ้นมากแล้ว ดูท่านหมอหลวงหลันก็ฝีมือไม่เลวทีเดียว!”

“อืม!” หลี่เฉินเย่นไม่ได้กล่าวอะไรมากมาย เขาทำเพียงแค่ส่งเสียงรับคำในคอเท่านั้น น้องมี่เหอ ครึ่งหนึ่งเขาเคยเรียกนางเช่นนั้น ในความทรงจำของเขานางเคยเป็นเด็กสาวที่งดงามและจิตใจดี จนกระทั่งนางใส่ร้ายป้ายสีชูเซี่ย ต่อมาก็ถึงขั้นวางยาพิษชูเซี่ยอีก นางทำถึงเพียงนี้จะให้เขามองนางว่าจิตใจดีได้อีกหรือ

แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกว่านางเองก็น่าสงสารยิ่งนัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำลงไปก็ล้วนเป็นเพราะเขา ความรักที่ไม่อาจครอบครองมักจะทำให้คนเสียสติได้เสมอ กลับกันหากว่าเรื่องเช่นนี้กับเขา แม้ว่าเหตุการณ์จะต่างกันแต่การกระทำก็คงไม่ต่างกันมากนักหรอก

ชายหนุ่มตัดสินใจหันกลับไปหาจงเจิ้ง “เจ้าไปที่ห้องทรงพระอักษรกล่าวกับท่านจิ้งกั๋วโฮ่วทั้งสองหน่อยเถิดว่าข้าจะไปช้าสักหน่อย!”

“ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใดหรือพะย่ะค่ะ” จงเจิ้งทูลถามอย่างประหลาดใจ

หลี่เฉินเย่นคงไม่รู้ว่าความอ่อนโยนในวันนี้ของเขาทำให้นางทั้งตื่นตกใจและมีความสัขมากเพียงใด แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ กำลังนำพาหายนะมามาให้นางเช่นกัน!

หลังจากที่หลี่เฉินเย่นกลับไปชูเซี่ยก็หยิบตำราออกมาเล่มหนึ่งแต่ไม่ว่านางจะพยายามอ่านอย่างไรก็อ่านไม่เข้าหัวสักที ในหัวของนางเอาแต่คิดถึงคำพูดของหลี่เฉินเย่นที่พูดกับนางก่อนจะถอนหายใจออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งนางก็เห็นว่าเชียนซานกำลังวิ่งมาทางนี้

ใบหน้าของเชียนซานเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา หญิงสาวเดินเข้ามาในห้องและคุกเข่าลงตรงหน้าชูเซี่ยก็เอ่ยอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “นายหญิง ขอร้องท่าน ท่านช่วยนางด้วยเถิด!”

เมื่อเห็นหญิงสาวที่เย็นชามาตลอดกลายร่างเป็นเด็กน้อยขี้แยก็ทำให้ชูเซี่ยทั้งรักใคร่และสงสารอย่างสุดซึ้ง นางรีบดึงร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา “ก่อนที่จะไปช่วยนางข้าอยากดูแขนของเจ้าก่อน!”

เชียนซานส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องดูหรอกเจ้าค่ะ แขนของข้ามีรอยแผลไฟไหม้อยู่จริงๆ พวกเราไปกันเถิด รีบไปหากช้ากว่านี้คงไม่ทันแล้ว!”

ชูเซี่ยวางตำราในมือลง “คนที่สามารถช่วยนางได้ไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้าต่างหากเล่า!”

เชียนซานช้อนสายตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตามองนางอย่างสงสัย

ชูเซี่ยจับไหล่ของนางทั้งสองข้างไว้ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “อาการของนางในตอนนี้ไม่ว่ายาหรือหมอก็ล้วนรักษาไม่ได้ ผู้ที่ช่วยให้นางผ่านพ้นสถานการณ์ย่ำแย่นี้ไปได้ก็คือเจ้า แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่ฟื้นคืนสติ แต่ส่วนลึกในใจของนางยังคงคิดถึงบุตรสาวของตนไม่เคยลืม แต่นางยังสามารถได้ยินคำพูดของพวกเรา เจ้าต้องไปกระซิบข้างหูของนางบอกนางว่าเจ้ากลับ จางหมิงจูบุตรสาวของนางมาหานางแล้ว เพื่อกระตุ้นความคิดของนาง ทำให้นางมีความหวังและกำลังใจที่จะอยู่บนโลกนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง!”

เชียนซานรู้สึกหวาดกลัวและดูแคลนตนเองขึ้นมา “นายหญิง ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าบางทีข้าอาจจะไม่ใช่บุตรสาวของพวกเขา”

ชูเซี่ยรู้แต่แรกอยู่แล้วว่านางต้องกังวลเรื่องนี้ “หากเจ้าสังเกตดีๆเจ้ากับฮูหยินจางหน้าเหมือนกันมากเลยนะ ทั้งปิ่นปักผมของเจ้า ยังมีรอยไหม้ที่แขนอีก ต่อให้เจ้าไม่อยากยอมรับแต่มันก็คือเรื่องจริง นิสัยของเจ้ากับท่านใต้เท้าซือคงจริงๆแล้วก็คล้ายกันยิ่งนัก ยิ่งความหน้าตายดื้อรั้นแบบนั้นอีก”

เชียนซานเช็ดน้ำตาป้อยๆ ริมฝีปากเอ่ยคำพูดสั่นเครือ “ตรงไหนกัน ข้ากับเขาเหมือนกันตรงไหนกัน ใครบอกว่าเขาเหมือนเขาไม่ทราบ”

ชูเซี่ยหัวเราะขบขัน “เช่นนั้นเจ้าเต็มใจจะไปช่วยเหลือมารดาของเจ้ากับข้าหรือไม่”

เชียนซานนิ่งไปก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “หากว่าข้าไปแล้วนางจะดีขึ้นมาข้าก็จะไป!”

“อย่างน้อยนางก็ย่อมดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่!” ชูเซี่ยตอบ

เชียนซานจึงยอมพยักหน้า ดวงตาฉายชัดถึงความรักและความเด็ดเดี่ยวของตน “ได้ ข้าไป!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า