ตอนที่ 31 ไม่ทิ้งกัน
การเดินทางกลับลงจากเขาครานี้ ชูเซี่ยก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวที่จะเข้าเขตเขาอสรพิษเช่นเดิม แต่ทว่าครั้งนี้หลี่เฉินเย่นกลับเป็นฝ่ายจูงมือนางค่อยๆเดินไปด้วยกันทีละก้าวทีละก้าว ราวกับว่าเขาพร้อมจะปกป้องนางหากมีอะไรเกิดขึ้น
ในใจนางรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของเขายิ่งนัก ในการเดินทางมายังเขาเทียนหลางครานี้ก็ไม่ได้แย่นักหรอก ก็เพราะนางยังได้มีโอกาสเห็นนิสัยด้านใหม่ๆของหลี่เฉินเย่นเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย มือของเขาที่กอบกุมมือนางในยามนี้ทั้งหนาและใหญ่ ซ้ำยังหยาบกร้าน เหตุใดเขาผู้เป็นถึงท่านอ๋อง เกิดมาพร้อมเกียรติยศและความมั่งมีบนกองเงินกองทอง ทั้งชีวิตแทบไม่ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใดๆเลยด้วยซ้ำ หรือบางทีที่มือของเขาด้านเช่นนี้คงเป็นผลจากการฝึกวิทยายุทธกระมัง นางรู้สึกชื่นชมเขามาก การฝึกวิทยายุทธไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างกายของเขาจะต้องแข็งแกร่งและมีความอดทนอย่างสูงจึงจะสามารถฝึกวิทยายุทธให้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ได้
เมื่อทั้งสองผ่านเขตเขาอสรพิษมาได้ หลี่เฉินเย่นก็ยังไม่คลายความกังวลลงแต่อย่างใด เพราะเขาทราบดีว่าเมื่อข้ามเขตเขาอสรพิษมาแล้ว พวกเขาทั้งสองยังต้องเสี่ยงต่อการปะทะกลุ่มโจรภูเขาอีกครั้ง เนื่องด้วยเมื่อสองวันก่อนที่พวกเขาเดินทางขึ้นเขามานั้น หลี่เฉินเย่นได้จัดการสังหารฝูงสุนัขทิเบตไปจนหมดสิ้น พวกมันเป็นสุนัขเลี้ยงที่มีคนเลี้ยงไว้ หากพวกมันตาย พวกโจรเหล่านั้นย่อมรู้สึกราวกับตนเองโดนกระตุกหนวดเสือถึงถิ่นเป็นแน่
ชูเซี่ยไม่ทราบเรื่องโจรภูเขามาก่อน นางจึงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่าทางของเขาถึงได้ดูกระวนกระวายเพียงนี้ “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก พวกเรายังเหลือเวลาอยู่นะเจ้าคะ” นางเอ่ยปลอบใจเขา
หลี่เฉินเย่นกวาดสายตาคมกล้าไปรอบๆ ทุกสรรพสิ่งรอบกายยังคงมีแต่ความสงบเงียบนอกจากเสียงลมพัดหวีดหวิวและใบไม้เสียดสีก็ไม่ได้มีเสียงอื่นใดอีก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงนกร้อง
ความสงบเงียบเช่นนี้หลี่เฉินเย่นทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องปกติแน่ “อดทนหน่อยเถิด ลงจากเขาค่อยว่ากัน” หลี่เฉินเย่นตัดสินใจที่จะไม่บอกนางเรื่องโจรภูเขาเพราะเขาไม่ต้องการให้นางรู้สึกหวั่นวิตก
เมื่อเขาเอ่ยจบแทนที่หญิงสาวข้างกายจะขยับฝีเท้าตามที่เขาพูด ชูเซี่ยกลับหยุดเดินเสียเฉยๆ นางรู้สึกประหลาดใจจึงหันกลับมาหาเขา“เหตุใดจึงมีคนมากมายเช่นนี้!”
หลี่เฉินเย่นชะงักเท้า“ที่ไหนมีคนกัน”
คราวนี้นางจึงตั้งใจฟังอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า“ก็ข้าได้ยินเสียงหายใจของคน มีมากมายเสียด้วย ไม่ต่ำกว่าร้อยคนแน่ๆ”
นางได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจเลยหรือ? ครานี้เขาจึงตั้งใจฟังดูบ้าง ทว่านอกจากเสียงหวีดหวิวของลมแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก ครานี้ทำให้เขาหวนคิดไปถึงเมื่อครั้งขึ้นเขามา นางในยาวนั้นก็บอกกับเขาว่าได้ยินเสียงของสุนัข ทว่าเขากลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อยเพิ่งจะมาได้ยินก็ตอนพวกมันเริ่มเข้ามาใกล้มากแล้ว คราที่แล้วเขาอาจนึกว่านางเพียงโชคดีเดาถูก แต่ยามนี้หลังจากที่เขาค้นพบเจอความสามารถพิเศษด้านการฟังของนางแล้ว เขาก็เชื่อนางอย่างสนิทใจ
สีหน้าของเขาเปลี่ยนในทันที“รีบหนีเร็วเข้า”ยามนี้พลังของเขายังไม่ฟื้นตัวดีนัก อย่าว่าแต่ร้อยคนเลย แค่สิบคนเขาก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะไหวหรือไม่ เขาตายไม่สำคัญ แต่หากนางซึ่งเป็นสตรีหากต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของโจรเหล่านั้นคงอยู่ไม่สู้ตายแน่
ไม่ทันเสียแล้ว!
เมื่อสิ้นเสียงกลุ่มคนมากมายก็ปรากฎกายขึ้นจากรอบๆด้านพวกเขาทั้งสอง แต่ละคนมีรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางโหดร้ายน่ากลัว ในมือถือพวกเขาถือด้ามขวานไว้ เมื่อรู้ตัวอีกคราก็กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่ตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเสียแล้ว
ในท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้นมีชายร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฟ้าเนื้อหยาบ สูงประมาณสองเมตร ผิวกายดำคล้ำ นางสัมผัสได้ถึงแววตาโหดร้ายกระหายเลือดของเขา แม้ว่าชายผู้นี้จะไร้อาวุธในมือทว่าเมื่อสัมผัสไอสังหารที่ชายผู้นี้แผ่ออกมาจากร่างแล้ว ชายผู้นี้คงเป็นหัวหน้าโจรอย่างไม่ต้องสงสัย
หลี่เฉินเย่นดันร่างของบอบบางของชูเซี่ยให้อยู่หลบอยู่หลังตนราวกับจะปกป้อง ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น“ผู้มาใหม่คือผู้ใด”
“เหล่าลูกๆที่น่ารักของข้า พวกเจ้าเป็นคนฆ่าหรือ”หัวหน้าโจรผู้นั้นไม่เพียงไม่ตอบทว่ากลับยกยิ้มพร้อมเอ่ยถามกลับ
หลี่เฉินเย่นรับรู้ได้ในทันทีว่าลูกๆที่เจ้าโจรผู้นี้เอ่ยถึงคงหมายถึงเหล่าสุนัขทิเบตที่ถูกเขาสังหารไปกระมัง แม้จะรู้แก่ใจว่าไม่สมควรพูดยอมรับออกไป แต่ทว่านิสัยของเขาเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ
“ไม่ผิด ข้าเป็นคนสังหารพวกมันเอง แต่นั่นก็เพื่อป้องกันตัวเพราะพวกมันเป็นฝ่ายจู่โจมทางเราก่อน”
หัวหน้าโจรค่อยๆกระตุกยิ้มบนใบหน้า ทันทีที่เขายิ้ม เหล่าสมุนก็ค่อยๆขยับยิ้มตามขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆกลายเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะก่อนที่เสียงหัวเราะจะค่อยๆขยายวงกว้างดังขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยหันมามองสบตากันอย่างงุนงง พวกเขาหัวเราะกันทำไมหรือ มีอะไรน่าขำกัน
เมื่อหัวหน้าโจรหยุดหัวเราะ ลูกสมุนทั้งหมดก็หยุดหัวเราะในทันที ทั้งหมดเงียบรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าของพวกตน
หัวหน้าโจรเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยออกมา“พวกมันเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น สัตว์เดรัจฉานจะโจมตีผู้อื่นมีอะไรน่าแปลกกัน มันเป็นสัญชาตญาณของพวกสัตว์ แต่พวกเจ้ากลับถือโทษโกรธพวกมัน หรือแท้จริงแล้วพวกเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นพวกมันกัน”
ช่างเป็นความคิดที่ประหลาดอะไรอย่างนี้ หลี่เฉินเย่นเขาเป็นผู้ไม่มีฝีมือด้านการปะทะวาทศิลป์มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วจึงไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี ใบหน้าคมเปลี่ยนสีเล็กน้อย ดวงตาของเขาจ้องมองที่หัวหน้าโจรอย่างไม่คิดจะคลาดสายตาแม้แต่น้อย เพราะในเวลาเช่นนี้เขามิอาจประมาทศัตรูที่มีจำนวนมากเช่นนี้ได้
ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวชะโงกศีรษะออกมาจากด้านหลังของหลี่เฉินเย่นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากตอบโต้กลับ“วาจาที่ท่านเอ่ยฟังดูคล้ายจะมีเหตุผล แต่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย สุนัขจู่โจมพวกเราเป็นสัญชาตญาณก็จริงอยู่ ทว่าพวกเราเป็นคนต่างถิ่นหากจะโต้ตอบกลับบ้างนั่นก็เป็นสัญชาตญาณการป้องกันตัวของพวกเราเช่นกัน ถ้าเราปล่อยให้พวกมันรังแกนั่นไม่เท่ากับว่าเราอ่อนแอยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีกงั้นหรือ”
สายตาทุกคู่จับจ้องตรงมาที่ชูเซี่ย หัวหน้าโจรเมื่อมองเห็นนางดวงตาก็ฉายแววเป็นประกายหมายมาด“โอ้ ที่แม่นางน้อยผู้นี้กล่าวมาก็มีเหตุผล ข้าชื่นชมเด็กสาวที่มีฝีปากกล้าเช่นนี้นัก มาเถอะ กลับไปด้วยกันกับข้า เราสองคนจะได้ค่อยๆมานั่งจับเข่าคุยลับฝีปากกันดีหรือไม่เล่า!”
หลี่เฉินเย่นดึงดาบออกมาจากฝักทันที มือหนากระชับด้ามดาบไว้แน่น เขาเอ่ยกำชับหญิงสาวด้านหลัง“อีกสักครู่หากมีการต่อสู้กันขึ้นมา เจ้ารีบหนีไปก่อน จงนำหญ้าหลินเฉ่าลงเขาไปด้วย ราชองครักษ์ของข้าอยู่ที่ตีนเขารออยู่ก่อนแล้ว”
ชูเซี่ยส่ายหัวแทบจะทันที“ท่านเป็นผู้พูดเองไม่ใช่หรือ ว่ามากันสองคนต้องกลับไปทั้งสองคน น้อยไปหนึ่งไม่ได้”
“สถานการณ์เช่นนี้เจ้ายังยกเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาพูดอีกหรือ เจ้าต้องนำหญ้าหลินเฉ่ากลับไปช่วยพี่สะใภ้ให้ได้เสียก่อน”เขากัดฟันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ ข้าไม่ยอม!”ชูเซี่ยยืนกรานเช่นเดิม ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมทิ้งเขาเด็ดขาด
หัวหน้าโจรยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ เพียงเท่านั้นเหล่าลูกสมุนต่างก็พุ่งเข้าโจมตีพวกเขาจากทั่วทุกด้าน หลี่เฉินเย่นยกดาบขึ้นมา ด้วยกำลังของเขาในยามนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาจำเป็นต้องจัดการให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เสียก่อน มิเช่นนั้นหากเหล่าโจรยังพร้อมใจกันพุ่งเข้าโจมตีเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆยิ่งกินเวลานานพลังลมปราณของก็ยิ่งไม่ไหวเขาไม่อาจรั้งไว้ได้นานนัก
เขาใช้วิชายุทธปะทะกลุ่มโจรเหล่านั้นที่มีไม่ต่ำกว่าสิบสองคน เพียงไม่นานก็จัดการไปได้ถึงสองคน ท่วงท่าของชายหนุ่มกระบวนท่าต่อสู้พริ้วไหวราวกับลม ชายเสื้อของเขาโบกสะบัดพริ้วไหว การเคลื่อนไหวของเขาช่างปราดเปรียวและน่าเกรงขามราวกับพยัคฆ์ยิ่งนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...