หากกล่าวถึงเพียงคร่าวๆ นั่นย่อมหมายความว่าไม่สะดวกที่จะลงรายละเอียดมาก
ดาบของซูเฉินฝากไว้กับอาจารย์ ส่วนเจียงอวี้ก็ไม่ได้นำดาบประจำตัวมาด้วย ก็เลยเลือกหยิบมาหนึ่งเล่มจากของสะสมมากมายของลุงเฮ่อ
ทั้งสองคนเตรียมจะประลองกันในลานกว้าง และก่อนจะเริ่ม เจียงอวิ๋นเฮ่อก็ได้กำชับเป็นพิเศษว่า
"พวกเจ้าจงระวังให้ดี อย่าฟันโดนต้นไม้ดอกไม้ล้ำค่าพวกนี้จนเสียหาย พวกมันล้วนเป็นของหายากทั้งนั้น หากเสียหายขึ้นมา ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้าแน่!"
เจียงอวี้รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญ หรือว่าในสายตาของท่านลุงเฮ่อนั้น คนเป็นๆ อย่างพวกเขาสำคัญน้อยกว่าต้นไม้ดอกไม้เสียอีก
แต่ก็เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น เขาจะจริงจังไม่ได้
แต่ซูเฉินชินแล้ว จากการที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมแปลกๆ ของอาจารย์แล้ว
อาจารย์ของเจียงอวี้ก็คือตาของเขาเอง ส่วนอาจารย์ซูเฉินก็คือศิษย์เอกของตาเจียงอวี้
เจียงอวี้ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนซูเฉินที่แอบเรียนเอาเอง
ทั้งสองเลยมีความต่างกันอยู่บ้าง
ทั้งสองคนประลองกันแบบพอหอมปากหอมคอ ถือว่าเสมอกัน อย่างไรก็ตาม เจียงอวี้น่าจะเหนือกว่าเล็กน้อย เพราะเขามีอาการบาดเจ็บภายในที่ยังไม่หายดี จึงต้องคอยควบคุมแรงไว้
จากการประลองของทั้งสองคน เจียงอวิ๋นเฮ่อก็ได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา
"ขอบคุณที่ออมมือให้ ซูเฉิน!"
หลังจากประลองเสร็จ เจียงอวี้ก็ประสานมือคารวะซูเฉิน
คู่ต่อสู้คนนี้ไม่เลวเลย เมื่อมองจากภายนอกและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันแล้ว ก็ไม่คิดเลยว่าฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่ายจะทัดเทียมกับตัวเองได้
เห็นได้ชัดว่า ที่อาจารย์บอกว่าเขาเป็นนักสู้โดยกำเนิด ไม่ใช่คำโม้เลย
“ถึงอย่างไรท่านก็เหนือกว่าข้า เพราะท่านยังบาดเจ็บภายในอยู่ แต่การที่วันนี้มีโอกาสได้ประลองกับท่าน ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมาก” ซูเฉินก็ถ่อมตนอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกันแล้ว ประสบการณ์การต่อสู้จริงของเจียงอวี้มีมากกว่าเขามาก เจียงอวี้มักจะถูกบังคับให้เข้าร่วมการต่อสู้ และรับมือกับการลอบสังหารอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น เจียงอวี้ยังสามารถพลิกสถานการณ์ด้วยพลังของตนเองได้เสมอ ส่วนเขานั้นมีแต่ฝีมือทางวรยุทธ์ที่ไร้ซึ่งโอกาสได้ใช้ หากจะเปรียบเทียบกันจริงๆ แล้ว เขาก็คงจะละอายใจในความด้วยกว่าของตนเอง
“เป็นเกียรติอะไรกัน การที่ได้รู้จักพวกท่านต่างหากคือเกียรติของข้า!”
"จริงสิ อีกสักพักข้ากับเจียงอวี้ก็จะออกเดินทางแล้ว ที่บ้านเกิดมีเรื่องจุกจิกเล็กน้อยรอให้ข้ากลับไปจัดการ ครั้งนี้เจียงอวี้ตั้งใจมาตามหาข้าโดยเฉพาะ เขาเองก็จากบ้านเกิดมาสิบปีแล้ว
เราสองศิษย์อาจารย์ก็อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปีแล้ว ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ข้าก็เห็นเจ้าเหมือนลูกของข้าเองนั่นแหละ หลังจากนี้เส้นทางของเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว อาจารย์เพียงหวังว่าเจ้าจะสามารถนำวิชาที่ข้าสอนไปใช้ในทางที่ถูกต้อง"
เจียงอวิ๋นเฮ่อตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปกับเจียงอวี้ เพราะเจียงอวี้คือลูกของนาง ตอนนี้เขาจึงจำเป็นต้องกลับไปช่วยเจียงอวี้ ในเมื่อเขารับปากว่าจะช่วยดูแลทายาทที่เหลืออยู่ของนางแล้ว ก็ย่อมไม่อาจผิดคำพูดได้
“ท่านอาจารย์ ทำไมถึงตัดสินใจรวดเร็วขนาดนี้ขอรับ?” ซูเฉินยังคงอาลัยที่อาจารย์จะจากไป
"เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน สถานการณ์ฉุกเฉินข้าไม่สะดวกที่จะพูดกับเจ้ามากนัก และความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจียงอวี้ เจ้าก็ห้ามแพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?"
เจียงอวี้นอกจากจะเป็นบุคคลสำคัญของสำนักเฟิงเย่ว์แล้ว ในเมืองหลวงเขาก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง ซึ่งไม่สะดวกที่จะเปิดเผยต่อคนภายนอก
ซูเฉินพยักหน้า สีหน้าดูเศร้าเล็กน้อย เขากล่าวถามต่อว่า
“ท่านอาจารย์ แล้วในภายภาคหน้า พวกเราจะได้พบกันอีกไหม?”
“แน่นอนว่าต้องได้พบกันอีก หากข้ามีเวลาว่างก็จะกลับมาที่อำเภอชิงเหอ แต่ซูเฉินเอ๋ย เจ้าก็จะอายุสิบแปดแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกแล้ว สำหรับอนาคต เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป?" แน่นอนว่าเจียงอวิ๋นเฮ่อจะไม่จากศิษย์คนนี้ไปตลอดกาล อยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปีแล้ว จะไม่มีความรู้สึกได้อย่างไร?

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...