แต่หากสามารถลดหย่อนภาษีในเขตลุ่มแม่น้ำเซวียนเหอได้ ย่อมแบ่งเบาภาระของชาวบ้านในพื้นที่ได้อย่างมาก พวกเขาก็ยินดีกลับคืนสู่ภูมิลำเนา ทำการเพาะปลูกและปลูกต้นไม้ ต้นไม้ที่ปลูกก็จะทำให้มีผืนป่าเพิ่มขึ้น เมื่ออุทกภัยคลี่คลายลง ชีวิตก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ และเซวียนเหอก็จะเป็นเมืองที่มั่งคั่งขึ้นเรื่อย ๆ”
เมื่อฟังสิ่งซูจิ่งพูดจบ ซูหว่านกลับรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
พี่ใหญ่ของนางสมแล้วที่เป็นยอดฝีมือที่หาได้ยาก เขามิได้คิดถึงสิ่งใดมากไปกว่าความเป็นอยู่ของเหล่าประชาราษฎร์ จิตใจที่เป็นห่วงเป็นใยแต่บ้านเมืองและความทุกข์ร้อนของปวงชน หากได้เป็นขุนนางในภายภาคหน้าย่อมสามารถสร้างคุณูปการแก่ราษฎรได้อย่างแท้จริง
“พี่ใหญ่มองการณ์ไกลได้ละเอียดอ่อนทุกกระบวนการความคิด อีกทั้งยังคำนึกถึงชาวบ้านในทุกเรื่อง หากในหมู่ขุนนางมีคนที่เหมือนท่านเพิ่มขึ้นอีกสักสองสามคน จำนวนผู้ทุกข์ยากในใต้ล่านี้ก็คงลดลงไปได้มากขึ้น”
“หวานหว่านยกย่องข้าเกินไปแล้ว หากแม้แต่การสอบเตี้ยนชื่อก็ยังสอบไม่ติด จะมีปณิธานอันแรงกล้าไปก็ไร้ประโยชน์อันใด?” ซูจิ่งยังคงไม่มั่นใจนัก เพราะสุดท้ายแล้วในใต้หล้านี้ก็มีผู้มีความสามารถมากมายเสียจริง แล้วคนอย่างเขาจะติดอันดับได้หรือเปล่านะ?
“พี่ใหญ่ต้องทำได้แน่นอน ต่อให้สอบไม่ติดก็ไม่เป็นไร ท่านเพิ่งจะอายุยี่สิบต้นๆ ยังมีโอกาสอีกมากมาย ทองแท้ย่อมเปล่งประกายไม่ว่าจะอยู่ที่ใด แม้แต่ไข่มุกถึงจะมัวหมองชั่วคราวแต่ความจริงที่มันเป็นของล้ำค่าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ เพียงแค่กำลังรอคนที่สายตาเฉียบแหลมมาพบเจอก็เท่านั้น”
ประโยคนี้นางเรียนมาจากเจียงอวี้เลยนะ ตอนนี้เอามาพูดปลอบซูจิ่งก็ถือว่าใช้ได้ถูกจังหวะ
มีเพียงซูหว่านเท่านั้นที่ปลอบเขาเช่นนี้ได้ คนอื่น ๆ แม้จะให้กำลังใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้แก่เขาได้
“ต้องขอบคุณหวานหว่านที่คอยปลอบใจข้าอยู่เสมอ ข้าถึงรู้สึกสงบใจลงได้บ้าง”
เขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับนักเรียนที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมาถึงแล้ว เป็นช่วงที่จะตัดสินว่าเส้นทางชีวิตของเขาในภายภาคหน้าจะกว้างไกลหรือไม่ ซูหว่านเข้าใจความรู้สึกของเขาดี จึงอยากจะพาเขาไปชมเทศกาลโคมไฟที่หัวเมือง ให้เขาได้ผ่อนคลายจิตใจลงบ้าง
……
รุ่งเช้าวันต่อมา รถม้าที่เจียงอวี้จัดเตรียมไว้ก็มาจอดรออยู่ที่หน้าบ้านตระกูลซูตั้งแต่เช้าตรู่
พอคนทั้งครอบครัวออกมาดูก็เห็นว่ามีรถมาตั้งสามคันจอดอยู่ และแต่ละคันหรูหรามากเป็นแบบที่ใช้ม้าลากสองตัวทั้งนั้น แถมมีคนขับรถม้าพร้อมเสร็จสรรพ
และคนขับทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์วัยยี่สิบต้นๆ พอนั่งนิ่งๆไม่ยิ้มแย้ม สีหน้าก็จะดูจริงจังยิ่งนัก
รถม้าสองคันแรกมีเตาผิงอยู่ภายใน และได้จุดถ่านทำให้ข้างในรถม้าอบอุ่นขึ้นแล้ว การเดินทางด้วยรถม้านั้นช้ากว่าการใช้ม้าตัวเดียว เพราะต้องแบกรับน้ำหนักด้วย จากที่นี่ไปที่หัวเมืองก็ต้องใช้เวลาถึงสามชั่วยามเลยทีเดียว
เพื่อความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องเร่งความเร็วมากนัก
ครั้งล่าสุดซูเฉินขี่ม้าที่ดีที่สุดควบไปด้วยความเร็วสูงบึ่งไปที่หัวเมืองก็ใช้เวลาไปสองชั่วยามกว่า
รถม้าคันสุดท้ายค่อนข้างธรรมดาหน่อยเพราะเอาไว้ใส่ขนมข้าวซอยตัด และเพราะกลัวว่าอากาศจะไม่ดี ซูหว่านเลยกำชับเจียงอวี้ให้เช่าแบบที่มีหลังคาด้วย
“เป็นอย่างไรบ้าง ทุกท่านพึงพอใจหรือไม่?” เจียงอวี้ฉีกยิ้มละมุนละไมไปให้ ราวกับกำลังรอคำชื่นชม
ซูอวิ๋นทำท่าทางไม่สนใจสิ่งใด และรีบมุดเข้าไปในรถม้าอย่างใจจดใจจ่อ
นอกจากเขาแล้ว พี่น้องคนอื่นๆ ก็มีท่าทีเฉยๆ ทำเพียงแค่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกเท่านั้น
“เอาล่ะ รีบขนของขึ้นรถม้ากันเถอะ ไปถึงหัวเมืองหนทางยังอีกไกลนัก อย่ามัวเสียเวลาเลย รีบเข้าเมืองไปเร็วๆจะได้หาที่พักดีๆอยู่”
ทันทีที่ซูหว่านออกคำสั่ง พี่ชายทุกคนก็เริ่มลงมือ
ซูหว่านตัดสินใจแล้วว่า เมื่อขนมข้าวซอยตัดไปถึงหัวเมืองจะต้องขึ้นราคาเป็นซองละสิบแปดอีแปะแล้ว ครานี้ทำมาทั้งหมดห้าร้อยสามสิบห่อ ส่วนที่ทำเกินก็ใช้เป็นของให้ชิมฟรี ปัดเป็นจำนวนกลมๆ ถ้าหากขายหมดก็จะได้เงินเก้าสิบตำลึง
บวกกับที่ซูอวิ๋นเก็บเอาไว้ตอนนี้ รวมกันแล้วก็เป็นเงินสองร้อยตำลึงเงิน ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการเปิดร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง แถมยังสามารถขยายขนาดให้ใหญ่เกินงบประมาณได้อีกด้วย หรืออาจจะแบ่งเงินสักสิบตำลึงไปสร้างบ้านก็ยังได้เลย
ซูหว่านกับพ่อซูแม่ซูและพี่ใหญ่ รวมถึงเจียงอวี้นั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนพี่ชายอีกสี่คนนั่งรถม้าคันที่สอง
ในรถม้าอุ่นสบายมาก ซูหว่านเองก็เพิ่งเคยนั่งรถม้าเป็นครั้งแรก นางแหวกม่านมองออกไปข้างนอกตลอด และรู้สึกสนุกสนานอย่างมาก
ย้อนเวลากลับมากลายเป็นแม่นางน้อย แม้แต่จิตใจของนางก็ยังกลายเป็นเด็กสาวไปด้วย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...