ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรเจียงอวี้วี่ก็ไม่ยอมรับเงินเลย
“อาอวี้ เจ้าอยู่บ้านฉลองปีใหม่ด้วยกันกับพวกเราก่อนค่อยไปก็ได้นะ!” แม่ซูยังคงอาลัยอาวรณ์เด็กคนนี้อยู่บ้าง
ในช่วงที่ผ่านมา นางมองเขาเหมือนเป็นลูกชายของตัวเองแล้ว
อายุก็พอๆ กับลูกของนาง แถมยังน่ารักน่าเอ็นดูอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะที่ต่างกัน นางก็อยากจะรับเขาเป็นลูกบุญธรรมเสียแล้ว
“ที่บ้านยังมีบรรดาญาติๆ รอให้กลับไปรวมญาติอยู่ ที่ข้าประสบเหตุในครั้งนี้คิดว่าพวกเขาคงจะร้อนใจมาหลายวันแล้ว และก็ทำแค่ส่งจดหมายไปบอกให้พวกเขาสบายใจเท่านั้น เกรงว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ ดังนั้นข้าจึงจะรีบกลับไปแจ้งข่าวคราวให้พวกเขาสบายใจ!” เจียงอวี้ก็ไม่คิดจะปิดบังความคิดแต่อย่างใด พูดออกมาตรง ๆ ถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้
เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่านตาของเขายังรอเขาให้กลับไปหาอยู่
“เป็นข้าเองที่คิดน้อยไปหน่อย นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พ่อแม่ของเจ้าคงกำลังรออยู่ที่บ้านด้วยความร้อนใจแล้ว”
แม่ซูมองเรื่องนี้ในฐานะแม่คนหนึ่ง หากเป็นนางเองแค่เพียงวันเดียวที่ไม่เห็นว่าลูกปลอดภัย นางก็คงต้องเป็นกังวลไม่หยุดไปทั้งวันเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำว่าพ่อแม่ แววตาของเจียงอวี้ก็หม่นหมองลงไปชั่วขณะ แต่เพียงแค่ชั่วขณะเดียวเท่านั้นและก็เลือนหายไป
อันที่จริงซูหว่านอยากจะถามเขาว่ากลับไปบ้านไหน แต่นางก็ห้ามตัวเองไว้ไม่ให้ถามออกไป
นางไม่ได้ถามออกไป แต่พี่ใหญ่ที่ซื่อตรงของนางกลับถามแทนนางเองว่า
“อาอวี้ เช่นนั้นเจ้าจะกลับเมืองหลวงงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าจะกลับไปหาท่านตาของข้า ท่านแม่ของข้าเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเด็ก ข้าจึงเติบโตมากับท่านตา จะอยู่ที่เมืองหลวงน้อยมาก แต่ปีหน้าพวกเราน่าจะได้พบกัน ข้าจะกลับไปเมืองหลวงรอบหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะไปหาพี่ใหญ่เพื่อรำลึกวันวานด้วยกันนะ”
“ได้สิ พูดคำไหนคำนั้นนะ!” ซูจิ่งพยักหน้ายิ้มๆ
เมื่อแม่ซูได้ยินว่าเด็กคนนี้กำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเด็กก็รู้สึกสงสารขึ้นมา แต่ก็ไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจ เพราะยังไงก็ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
“อาอวี้ จากนี้ไปบ้านของพวกเราก็จะเป็นบ้านหลังที่สามของเจ้า เจ้าอยากจะมาเมื่อไรพวกเราก็ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ!”
“น้าของเจ้าพูดถูกแล้ว ต่อไปพวกเราก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน” พ่อซูพูดเสริม
เมื่อเจียงอวี้ได้ยินดังนั้น เขาก็มองซูหว่านที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่ให้รู้ตัว และก็เห็นเพียงนางก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ดีเลย พวกท่านพูดมาเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกดีใจมากแล้ว”
บรรยากาศในบ้านตระกูลซูที่เป็นเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ ทั้งคึกคัก ทั้งอบอุ่น ไม่มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีกัน ทุกคนต่างก็คิดถึงคนในครอบครัวอย่างจริงใจและพยายามไปด้วยกัน เสียสละให้กันและกัน ช่างเป็นเรื่องที่ดีอะไรเช่นนี้
ไม่เหมือนกับเขา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สิ่งที่อยู่ข้างกายเขาไม่เคยห่างก็คือคนที่มีเจตนาร้าย และต้องการให้เขาตกนรก
โรงเตี๊ยมที่เจียงอวี้เตรียมเอาไว้ตั้งอยู่บนถนนที่คึกคักที่สุดในหัวเมือง มีนามว่าโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซี ชื่อนี้ตั้งได้ไพเราะมีศิลปะอย่างมาก
พอซูอวิ๋นและคนอื่น ๆ เดินมาเห็นโรงเตี๊ยม ซูหว่านก็คิดว่าตัวเองมาผิดที่เสียแล้ว
“ซูหว่าน นี่เจ้าแน่ใจนะว่าที่แบบนี้พวกเราเข้ามาได้น่ะ?”
ซูอวิ๋นที่ไม่รู้เรื่องด้วย รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าของตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย
“กลัวอะไรล่ะ เจียงอวี้เป็นคนเลี้ยง เขาบอกว่าจะแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ” ซูหว่านชี้ไปที่ด้านหลังของเจียงอวี้
พอได้ยินว่าเป็นเจียงอวี้ออกเงิน ความกังวลของซูอวิ๋นก็มลายหายไปในพริบตา
เขาเป็นคนหน้าไม่อายอยู่แล้ว เจียงอวี้กับพวกเขาก็สนิทกันขนาดนี้ หากไม่เอาเปรียบเสียหน่อยก็บ้าแล้ว อีกอย่างเขารวยจะตาย มีอะไรให้กลัวกัน
เรื่องส่วนรวมก็เป็นเรื่องส่วนรวม เรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัว เขาไม่ชอบทำอะไรอิดออดอยู่แล้ว
ทุกคนเดินตามเจ้าของเข้าไปในโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซี ภายในก็เห็นโถงใหญ่ที่ตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ และมีนักร้องและนางรำบรรเลงดนตรีที่ไพเราะเสนาะหูดังแว่วเข้ามาที่หูเป็นช่วงๆ
“พวกเราได้เตรียมห้องพักเอาไว้ให้ทุกท่านทั้งหมดหกห้อง ทุกท่านสามารถจัดสรรกันได้เองเลย ขอเชิญทุกท่านตามข้าขึ้นไปที่ชั้นบนขอรับ!”
ห้องพักของพวกเขาล้วนเป็นห้องพักหรูระดับเทียนจื้อที่อยู่ที่ชั้นสาม ซึ่งมีสภาพแวดล้อมและวิวทิวทัศน์ดีที่สุด

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...