เขาพูดไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง เหมือนลูกหมาตัวใหญ่ที่กำลังน้อยใจ ซูหว่านรู้สึกว่าเขาทั้งน่าสงสารเเละน่ารัก พูดก็พูดไปสิ สุดท้ายยังเสียดสีอีก ขำตายชัก
“อี๋ น้ำมูกน้ำตาไหลรวมกันมาหมดเเล้ว ท่านอายไหมนี่” ซูหว่านหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดบนใบหน้าให้เขา สีหน้าเเสดงความรังเกียจ เเต่การกระทำกลับไม่ได้รังเกียจเลยเเม้เเต่น้อย
“ซูหว่าน เมื่อกี้เจ้าเพิ่งบอกว่าร้องไห้ไม่น่าอายเลยนี่นา เจ้ามันปากไม่ตรงกับใจ!” ซูอวิ๋นปัดมือนางออก ตัวเขาเองก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
เห็นเขากลับมายิ้มได้อีกครั้ง ซูหว่านก็วางใจได้เเล้ว ปลดปล่อยออกมาก็ดีเเล้ว โรคใจรักษายากกว่าบาดเเผลภายนอกนัก คาดว่าเขาคงไม่สามารถทำใจได้ภายในวันสองวัน ให้เวลาเขาหน่อยเขาจะผ่านมันไปได้เอง
“ตอนกลางวันข้ากินปลาฟูหรง ถ้าได้ราดซอสที่ท่านปรุงด้วยซีอิ๊วหน่อยก็จะยิ่งอร่อย รสชาติมันจืดเกินไป”
ซูหว่านเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอาหาร ซูอวิ๋นรู้สึกหิวเล็กน้อย กลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขากินได้เเต่โจ๊ก ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย หลังจากร้องไห้ เขาก็รู้สึกหิวจริงๆ
ปลาฟูหรงนั้นรสอ่อนมาก เขากินได้
“จริงเหรอ เอามาให้ข้าชิมหน่อย!”
อยากกินอะไรเเล้ว นี่เป็นเรื่องดี ซูหว่านรีบลุกขึ้นไปสังอาหารให้เขากิน ก่อนออกไป นางยังบิดผ้าเช็ดหน้าเปียกๆมาให้เขาเช็ดหน้าอีกด้วย
“มานี่ เช็ดให้สะอาด เดี๋ยวพี่ห้าเห็นเข้าจะล้อเอา”
ซูอวิ๋นรับผ้าเช็ดหน้ามา มองใบหน้ายิ้มเเย้มสดใสของซูหว่าน ช่องว่างในใจของเขาก็ถูกเติมเต็มทันที
ซูหว่านดีจริงๆ นางคอยช่วยขจัดความกังวลให้พวกเขาอย่างเงียบๆเสมอ
หลังจากปลาฟูหรงถูกยกมา ซูอวิ๋นก็กินข้าวต้มไปสองชาม เเม่ซูมองดูภาพนั้นด้วยความยินดี
กินได้ก็ดีเเล้ว กลัวเเต่เขาไม่ยอมกินนั่นเเหล่ะ จึงจะเป็นปัญหา
พักฟื้นอีกสองวันก็ควรกลับเเล้ว เจียงอวี้ก็มาลาพวกเขาเช่นกัน บอกว่าจะเดินทางออกจากเซียงโจวไปยังจงโจวในเช้าวันรุ่งขึ้น
กลัวว่าเวลาจะไม่ทัน เขาจึงไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้เเล้ว
ก็จริงอยู่ เขาเสียเวลาไปมากเเล้วเพราะเรื่องของพวกเขา พูดตามตรง ถ้าไม่มีเจียงอวี้ ซูอวิ๋นคงตายอยู่ในตรอกนั้นโดยไม่มีใครรู้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังจัดหาเสื้อผ้าอาหารเเละที่พักให้พวกเขา ให้ซูอวิ๋นใช้ยาที่ดีที่สุด เมื่อคำนวณดูเเล้ว บุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ก็ถือว่าทดแทนกันเเล้ว เขาไม่ติดหนี้ตระกูลซูอีกต่อไป
ซูหว่านตัดสินใจที่จะยกเลิกคำสัญญาเดิม เจียงอวี้ไม่ติดค้างบุญคุณนางแล้ว ส่วนเรื่องของซูอวิ๋น เขาก็ถือว่าได้ชดใช้เเล้ว หากยังเอาเรื่องช่วยชีวิตมาพูดอีก ก็จะกลายเป็นการบีบบังคับทางศีลธรรมไปหน่อย
เเต่เขาจะไปเเล้ว ไปอย่างกระทันหันเสียจนซูหว่านยังไม่มีเวลาจะคืนหยกให้เขาเลย
เขารู้สึกว่า ซูหว่านทุ่มเทเพื่อตระกูลซูมากมายโดยไม่เคยบ่น เขาควรจะดีกับนาง
ซูหว่านเปิดกล่องออกมา เป็นลิปสติก แต่เป็นสีชมพู เป็นสีตาย (หมายถึงสีที่คนทั่วไปไม่นินมใช้หรือไม่เข้ากับสีผิว) เเต่ซูหว่านก็ยังคงดีใจมากหลังจากได้รับมัน
“ข้าดูไปรอบหนึ่ง ก็รู้สึกว่าสีนี้ค่อนข้างสวย ชมพูระเรื่อ เหมาะกับวัยของเจ้ามาก” ซูอี้อธิบาย
ลิปสติกนี้ซื้อมาจากร้านขายเครื่องสำอางที่ถูกต้องตามกฏหมาย เสียเงินไปตั้งสองตำลึงเล็กๆ ตอนที่เขาซื้อเขาก็รู้สึกว่าสีนี้สวยที่สุด เป็นผู้ชายซื่อจริงๆ
เจ้านี่ดันไปซื้อของที่ขายไม่ออกในร้านขายเครื่องสำอางเข้าให้ สีนี้ผู้หญิงทั่วไปทาเเล้วเอาไม่อยู่หรอก ก็เลยไม่มีใครซื้อ วางอยู่ตรงมุมร้านก็ยังถูกเขาเห็นจนได้
“สวยมาก ชอบ!” ซูหว่านใช้นิ้วเเตะลิปสติกเล็กน้อย เเล้วทาลงบนปากทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะนางผิวขาวพอ เเละหน้าตาสวยโดดเด่นจริงๆ ก็คงเอาสีนี้ไม่อยู่หรอก
หลังจากทาเเล้ว จะสวยหรือไม่สวย จะน่าทึ่งหรือไม่ก็เห็นได้ชัด ซูอี้รู้สึกว่าไม่สวย ไม่เข้ากับนางเท่าไร เเต่นางกลับทำท่าทางว่าชอบมาก ช่างให้เกียรติจริงๆ
“หวานหว่าน เจ้าอยากลองไปส่องกระจกดูไหม ถ้าไม่ชอบล่ะก็ ข้าสามารถซื้อให้เจ้าใหม่ได้!” เขาเองยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสวย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...