เสียงพูดค่อยๆ เบาลงไป
“ไม่ต้องดูหรอก ตราบใดที่พี่ห้าให้มา ข้าก็ชอบหมดแหละ!”
ซูหว่านเน้นที่การให้เกียรติเป็นหลัก มีบ้างก็ดีแล้ว ถือเป็นน้ำใจ ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
อันที่จริงนานขนาดนี้แล้ว นางก็ไม่ได้กลัวจุดจบของตัวเองที่มีในหนังสือนิยายเหมือนช่วงแรก ๆ อีกแล้ว เส้นทางชีวิตเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ขอแค่เราไม่ทำความชั่ว แม้แต่กฎหมายก็ไม่สามารถควบคุมเราได้ แล้วคนอื่นจะเอาอะไรมาตัดสินเราได้เล่า?
แค่ตัวเองไม่มีอะไรต้องละอายใจก็พอแล้ว
ซูอี้พยักหน้า ยิ้มอย่างเข้าใจ สักพักเขาก็จากไป พอดีกับที่เจียงอวี้มาถึงหน้าห้องของซูหว่าน เขายืนอยู่ที่หน้าประตู ยิ้มให้ซูหว่าน และเอียงศีรษะเล็กน้อย เป็นสัญญาณให้ซูหว่านออกมา
ซูหว่านออกมา นางเองก็มีเรื่องจะพูดคุยกับเขาพอดี
“คุยกันหน่อยไหม?” เจียงอวี้ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ร้ายกาจ
ซูหว่านพยักหน้า จากนั้นเจียงอวี้ก็พานางไปยังที่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าด้านบนของโรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซียังมีอีกชั้นหนึ่ง มีประตูลับที่มีบันไดขึ้นไปประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร พอขึ้นไปแล้วก็เจอกับ ศาลาริมระเบียง ยืนอยู่บนนั้นสามารถมองเห็นอาคารและถนนบางส่วนของเซียงโจวจากมุมสูงได้
ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ และงดงามมากจริงๆ
ในศาลา เจียงอวี้จุดเตาถ่าน และกำลังต้มชาไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมฟุ้ง ทั้งยังมีขนมอันประณีตวางอยู่มากมาย ดูท่าเขาจะเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตให้มีความสุขไม่น้อยเลย
ซูหว่านเกาะอยู่ที่ราวระเบียงมองดูทิวทัศน์ในเมือง ราวกับไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน ส่วนเจียงอวี้ก็คอยเฝ้าดูนางจากข้างหลัง
“อย่าโน้มตัวออกไปมากเกินไป อันตรายนะ!”
ซูหว่านพยักหน้า หิมะพลันโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า ทำให้ฉากนี้เพิ่มความงดงามเข้าไปอีก
“หิมะตกอีกแล้ว”
“หิมะตกแค่นี้ถือว่าน้อยนะ ถ้าเป็นที่เมืองหลวง พอหิมะตกทีก็จะตกหนักเหมือนเป็นขนห่านเลย ตกแค่คืนเดียวทั่วทั้งเมืองก็กลายเป็นสีขาวโพลนแล้ว เหยียบลงไปทีหิมะก็สูงถึงหน้าแข้ง ถ้าออกไปข้างนอกแล้วไม่มีเสื้อคลุม รับรองว่าได้แข็งตายแน่ๆ”
เจียงอวี้พึมพำกับตัวเอง หิมะที่เซียงโจวนี้ ห่างไกลจากหิมะที่เมืองหลวงมากนัก ทั้งยังไม่เกาะตัวสะสมกันเป็นชั้นๆ อีกด้วย
ซูหว่านหันกลับไปมองเขา หิมะโปรยปรายลงบนผมของทั้งสองคน นางรู้สึกว่าคำพูดของเขาแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย
“ท่านกำลังนึกถึงเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจอยู่หรือเปล่า?”
“ก็ไม่เชิง แค่คิดถึงตอนเด็กๆ ที่ข้าเล่นหิมะอยู่ในลานบ้านจนมือแดงก่ำไปหมด ท่านแม่ของข้ากับคนอื่นๆ วิ่งไล่จับข้าไปทั่วลานบ้านเลย ท่านเป็นห่วงข้า กลัวว่าข้าจะเป็นหวัด แต่ก็ทำใจดุข้าไม่ลง"
ในความทรงจำของเจียงอวี้นั้น ภาพลักษณ์ของมารดาชัดเจนที่สุด ท่านเป็นเหมือนแสงจันทร์สีขาวของเขา แทบไม่มีใครเทียบได้เลย
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วหรือว่านี่เป็นของแทนใจ? ข้ายังติดค้างบุญคุณเจ้าอยู่เลยนะ!”
“ไม่ติดค้างแล้ว ครานี้ท่านช่วยพี่สี่ของข้า ดังนั้นท่านจึงไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเราแล้ว…”
ซูหว่านอธิบายอย่างจริงจัง แต่นางไม่ได้สังเกตเห็นว่ามุมปากของเจียงอวี้ที่ซ่อนอยู่หลังถ้วยชาได้คลายลงโดยไม่รู้ตัว และนิ้วที่กำถ้วยชาก็เริ่มซีดเล็กน้อย
ถ้าเขาใช้พลังภายในอีกนิด ถ้วยนี้คงแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว
นางบอกว่าไม่ติดค้างแล้ว ดังนั้นแม้แต่ของก็ยังต้องคืนให้เขา นี่นางจะตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วใช่หรือไม่?
ในใจของเจียงอวี้หงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุ เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แล้วหันหน้าเข้าหาซูหว่าน เขาพยายามควบคุมความยึดมั่นของตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะกลัวจะทำให้นางตกใจ
“ของที่ข้ามอบให้ไปแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเอาคืน”
น้ำเสียงของคำพูดนี้ฟังดูเหมือนกัดฟันพูด ซูหว่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความกดอากาศรอบตัวเจียงอวี้ลดต่ำลง
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า เจ้าไม่ได้ถือว่าข้าเป็นสหายหรืออย่างไร? หรือว่าพอเจ้าคืนหยกให้ข้าแล้ว ก็จะไม่คิดเจอข้าอีกเลย?” เจียงอวี้มองนางด้วยดวงตาที่เปี่ยมเสน่ห์ หางตาแดงเรื่อเล็กน้อย ครึ่งแรกของประโยคฟังดูเหมือนเขากำลังอดกลั้น ส่วนครึ่งหลังนั้นทำให้รู้สึกว่าเขากำลังตัดพ้อ

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...