ซูหว่านพลันรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา เขามองดูเหมือนน้อยใจมากจริง ๆ
หากยังปฏิเสธเขาต่อไป นางคงต้องรู้สึกผิดเป็นแน่
“แน่นอนว่าไม่ใช่ เรายังคงเป็นสหายกัน...” ซูหว่านกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“หยกชิ้นนั้นเจ้าเก็บไว้เถิด ทุกคำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้กับเจ้า จะยังคงอยู่ชั่วชีวิต!”
เจียงอวี้พูดพลางหยิบขนมชิ้นหนึ่งส่งให้นาง นางยังจำคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ในเรือนเล็กของตระกูลซูได้ รวมถึงบ่ายวันนั้น บนถนนชนบท เจียงอวี้พูดบนเกวียนว่า
“จากนี้ไป ข้าก็คือที่พึ่งของเจ้าเช่นกัน!”
คำพูดนั้นยังคงก้องกังวานแจ่มชัดอยู่ในห้วงคำนึง
หากจะบอกว่าซูหว่านไม่ซาบซึ้งใจก็คงจะเป็นเรื่องโกหก เพียงแต่นางไม่กล้ามองสบตาเขาตรง ๆ แววตาของเขาจริงจังเกินไปจนทำให้ใจของนางสั่นไหว
นางยื่นมือไปรับขนมของเขา ถือเป็นการยอมรับคำพูดของเขา
ในที่สุดเจียงอวี้ก็ยิ้มออกมาได้อีกครั้ง เขาไม่ต้องการให้ความผูกพันระหว่างเขากับนางต้องสิ้นสุดลง
ทั้งสองนั่งกินขนมดื่มชาชมทิวทัศน์อยู่บนชั้นบน พูดคุยกันบ้างเป็นครั้งคราว นั่งหันหน้าเข้าหากัน ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขยิ่งนัก
เช้าวันต่อมา เจียงอวี้ก็กล่าวลาคนตระกูลซูเพื่อออกเดินทาง เขามาพร้อมกับหน้ากากเขี้ยว กระบี่คู่กาย และม้าอีกหนึ่งตัว นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
นอกจากซูอวิ๋นที่ไม่สะดวกแล้ว คนอื่น ๆ ในตระกูลซูต่างก็ออกไปส่งเขา แม่ซูโบกมือให้เขาอย่างอาลัยอาวรณ์
“อาอวี้ ถ้ามีเวลาต้องกลับมาเยี่ยมพวกเราบ่อย ๆ นะ อาสะใภ้ถือว่าเจ้าเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว”
นางเอ็นดูเจียงอวี้เหมือนดั่งบุตรชาย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่ามารดาของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเล็ก ก็ยิ่งรู้สึกสงสารเขามากขึ้นไปอีก
“ขอรับ ข้างนอกอากาศหนาว พวกท่านรีบกลับเข้าไปเถิด!”
เจียงอวี้อยู่บนหลังม้า เจียงอวิ๋นเฮ่อยังคงรอเขาอยู่นอกเมือง
เขาหันไปมองซูหว่านเป็นพิเศษ แล้วเอ่ยกับนางว่า
“ข้าไปแล้ว แล้วพบกันใหม่!”
ซูหว่านยืนอยู่ข้างม้า แหงนหน้าขึ้นสบตากับเขา สายลมพัดพู่บนปิ่นปักผมของนางจนสั่นไหว รอยยิ้มของหญิงสาวสดใสกระจ่างตา เผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มลึก แม้จะเป็นวันในฤดูหนาวที่ไร้แสงแดด แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ
“แล้วพบกันใหม่ เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”
เจียงอวี้ขี่ม้าออกจากเมืองไป แต่เนื่องจากในเมืองไม่อนุญาตให้ควบม้าเร็ว เขาจึงทำได้เพียงบังคับม้าให้เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองส่งจนกระทั่งร่างของเขาลับหายไปในฝูงชนและลับมุมถนนไป
……
ครอบครัวซูก็พักอยู่ที่ตัวเมืองเพียงวันเดียว วันรุ่งขึ้นรถม้าที่เจียงอวี้จัดเตรียมไว้ให้ก็มาส่งพวกเขากลับบ้าน
ภายในรถม้าบุไว้อย่างนุ่มสบาย เพื่อให้กระทบกระเทือนบาดแผลของซูอวิ๋นน้อยที่สุด
ก่อนเดินทาง ซูอวิ๋นได้ไปหาผู้จัดการลั่วเพื่อพูดคุยเรื่องการเป็นลูกมือในครัว ทั้งยังกำชับว่าให้รอเขา อย่าเพิ่งไปหาคนอื่น
ก่อนหน้านี้ซูหว่านแค่พูดเล่น แต่ซูอวิ๋นกลับคิดจริงจัง ถึงกับต้องไปย้ำกับผู้จัดการลั่วด้วยตัวเอง แน่นอนว่าผู้จัดการลั่วย่อมต้องรับปากเขาอยู่แล้ว เพราะเห็นแก่หน้านายน้อยของตน ก็ต้องยอมตกลง
ซูอวิ๋นจึงจากไปอย่างวางใจ ทั้งครอบครัวกลับถึงบ้านตระกูลซู ไก่และกระต่ายที่บ้านฝากให้ป้าเฉินช่วยดูแล ตอนที่พวกเขากลับมาก็เจอกับป้าเฉินพอดี
“พี่สะใภ้เฉิน รบกวนท่านแล้วจริง ๆ บอกว่าจะไปแค่สองวัน แต่กลับไปเสียนาน” แม่ซูกล่าวอย่างเกรงใจ
“โธ่ จะรบกวนอันใดกัน เจ้าซูบ้านเจ้ากับเจ้าเฉินบ้านข้าสนิทกันออกปานนั้น ช่วยเหลือกันเล็กน้อยเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วมิใช่หรือ?” ป้าจ้าวเป็นคนดีมาก
แม่ซูจึงมอบเงินยี่สิบอีแปะให้เป็นค่าตอบแทนที่ช่วยให้อาหารไก่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่วนซูหว่านก็มอบสบู่สระผมให้นางไปครึ่งก้อน
ป้าจ้าวรับของไว้ นางชื่นชอบนิสัยตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่อิดออดเช่นนี้ มากกว่าพวกที่ปากบอกว่าไม่เอา แต่สุดท้ายก็รับไปหมดอยู่ดี
“จริงสิ สองสามวันที่พวกเจ้าไม่อยู่ มีคนจากสำนักศึกษาของเจ้าใหญ่มาหา บอกว่ามาหาอาจิ่ง แต่พวกเจ้าไม่อยู่บ้าน เลยไม่รู้ว่าเรื่องอันใด ข้าเลยมาบอกให้รู้ไว้”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...