คำพูดเหล่านี้ นางเคยกล่าวไว้จริง ๆไม่ได้กล่าวหานางแต่อย่างใด
“จริงหรือ?” ซูเฉินไม่ใคร่จะเชื่อนัก ตามหลักแล้ว ลูกหลานจากตระกูลบัณฑิตเช่นนี้ล้วนมีความรู้และมีมารยาท กิริยาวาจาเรียบร้อยสง่างามถึงจะถูก
“พี่สาม อย่าให้ภาพลักษณ์ภายนอกลวงตา ท่านต้องรู้ว่า หากพี่ใหญ่ได้เป็นขุนนางบัณฑิต ก็ย่อมต้องหาหญิงสาวที่มีความรู้และมีมารยาท และมีคุณธรรมความประพฤติที่ดีงามอย่างแท้จริงมาดูแลบ้านช่องปรนนิบัติบิดามารดา หากอีกฝ่ายเอาแต่ใจตนเองและก้าวร้าวเผด็จการแล้ว จะดูแลพ่อแม่ของเราให้ดีได้อย่างไรกัน? ข้าเห็นกับตาตัวเองว่านางพัวพันกับพี่ใหญ่ไม่เลิก ทั้งยังพูดจาเหลาะแหละ ไม่ใช่คู่ครองที่ดีเลย!”
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่เป็นเพียงบัณฑิตธรรมดาในสำนักศึกษา การที่บัณฑิตออกจากสำนักกลับบ้านเกิดเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำนักศึกษาจะมีเรื่องราวใหญ่โตอะไรกัน? ถึงกับต้องให้พวกเขาเดินทางลงมาถึงชนบทเพื่อตามหาบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องราวในสำนักศึกษาก็มิได้อยู่ในความดูแลของพี่ใหญ่เสียหน่อย เรื่องนี้มันช่างน่าสงสัยยิ่งนัก มิใช่ว่าข้าเป็นคนใจแคบ แต่ไม่อยากให้เส้นทางในอนาคตของพี่ใหญ่ต้องสะดุด”
ซูเฉินฟังแล้วขมวดคิ้ว รู้สึกว่าที่ซูหว่านพูดมาก็มีเหตุผล ที่สำคัญคือนางวิเคราะห์ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทำให้ยากที่จะไม่คล้อยตาม
“แต่ทำไมไม่บอกพี่ใหญ่ไปตามตรงเล่า?” ซูเฉินสงสัยขึ้นมาอีก
“พี่ใหญ่เคารพครูบาอาจารย์ ดั่งคำกล่าวที่ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาไปตลอดชีวิต หากท่านเจ้าสำนักยืนกรานจะพบเขาให้ได้ ด้วยนิสัยของเขาแล้วย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นให้ท่านไปเป็นเพื่อนเขาเสียเลย ไปดูให้รู้แน่ว่าต้องการทำอะไรกันแน่ หากมีเรื่องสำคัญจริง ๆ ก็แล้วไป แต่หากเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย นั่นก็เท่ากับว่าเป็นการพยายามปกปิดความผิดมิใช่หรือ?”
ซูเฉินพยักหน้า ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่เดินทางไปเป็นเพื่อนเท่านั้น อีกทั้งที่ซูหว่านพูดมาก็มีเหตุผลดี เผื่อว่าอีกฝ่ายมีเจตนาแอบแฝงเล่า?
“ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปกับพี่ใหญ่!” ซูเฉินรับปากอย่างง่ายดาย
ซูหว่านรู้สึกว่าตนเองทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย จนเริ่มรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก
“พี่สาม ท่านจะรู้สึกว่าข้าคิดมากเกินไป จัดการมากเกินไป น่ารำคาญบ้างหรือไม่?”
ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาทันที
“เด็กโง่ เจ้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้ารักเจ้ายังไม่ทัน จะรำคาญเจ้าได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง เจ้าก็แค่รอบคอบเป็นพิเศษ ไม่อยากให้พี่ใหญ่ต้องเจ็บปวด นี่ก็เพื่อพวกเราทั้งนั้น สิ่งที่เจ้าทำเพื่อบ้านของเรามาตลอด พวกเราทุกคนต่างประจักษ์แก่สายตา!”
ซูเฉินลูบศีรษะของนาง น้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มแฝงความเอ็นดู
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ซูหว่านก็รู้สึกดีใจขึ้นมา แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองช่างเลวทรามไร้ยางอาย
จะไร้ยางอายก็ช่างเถิด นางก็ทำไปเพื่อครอบครัวนี้ หากไม่มีนาง บ้านคงแตกไปแล้ว
อันที่จริง การที่ไม่บอกซูจิ่งก็มีเหตุผลอยู่เช่นกัน เขาใกล้จะเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้ว ไม่อยากให้เขารับรู้เรื่องราวสกปรกพวกนี้ จนต้องกังวลใจเปล่า ๆ
พฤติกรรมการปีนเตียงของพ่อลูกตระกูลจ้าวเหล่านั้น ไร้ยางอายกว่านางไม่รู้กี่เท่า นางเพียงแค่กุเรื่องขึ้นมาเท่านั้น ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้นเอง
ทันทีที่ซูจิ่งและซูเฉินก้าวเข้ามา ก็ได้เห็นภาพนี้พอดี ฮูหยินจ้าวและคุณหนูจ้าวกำลังแสร้งปิดหน้าคร่ำครวญ แต่กลับไม่เห็นน้ำตาสักหยด
เมื่อจ้าวซีอวิ๋นเห็นซูจิ่ง ก็เดินเข้ามาหาอย่างเหนียมอายพลางเอ่ยเรียก
“พี่ซู ในที่สุดท่านก็มาเสียที ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าป่วยหนักเพียงใด?”
ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็นึกในใจ คุณหนูสกุลจ้าวผู้นี้เหมือนที่ซูหว่านว่าไว้ไม่มีผิด นางกับพี่ใหญ่ก็ไม่ได้มีพันธะสัญญาหมั้นหมาย เหตุใดจึงเรียกขานกันสนิทสนมถึงเพียงนี้?
แต่ซูจิ่งกลับคุ้นชินเสียแล้ว ต่อให้บอกว่าไม่อยากฟังแล้วจะทำอะไรได้ หากไม่ใช่เพราะการลงมือกับสตรีจะผิดวิสัยบุรุษ เขาคงลงมือไปนานแล้ว
อีกอย่าง การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เขาจะทำอันใดได้เล่า?
ไม่ไปตามหาหมอ แต่มาหาเขาแล้วจะหายป่วยหรือ?
ซูจิ่งได้แต่ร่ำร้องต่อว่าอยู่ในใจ
ไม่เคยพบสตรีหน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน ท่านเจ้าสำนักจ้าวเป็นถึงปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรมและเป็นที่เคารพนับถือ เหตุใดจึงได้สั่งสอนบุตรสาวให้มีนิสัยเช่นนี้ออกมาได้?

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...