ซูจิ่งถึงกับไม่ยอมเรียกท่านอาจารย์ แต่เปลี่ยนไปเรียกอาจารย์ใหญ่แทน แสดงให้เห็นว่าเขาต่อต้านเรื่องนี้เพียงใด
“พี่ซู ข้าไม่รังเกียจที่บ้านท่านยากจน ข้าเพียงต้องการอยู่เคียงคู่กับท่านไปชั่วชีวิต ตอนนี้ท่านยังไม่ชอบข้าก็ไม่เป็นไร นานวันเข้าท่านย่อมต้องชอบข้าแน่นอน!”
วาจาของจ้าวซีอวิ๋นช่างโจ่งแจ้งไร้ยางอายสิ้นดี
จ้าวถงเต๋อไอออกมา เป็นสัญญาณให้นางหุบปาก
แต่จ้าวซีอวิ๋นกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ทั้งยังยกมือขึ้นทำท่าสาบาน
“ความรักที่ข้ามีต่อพี่ซู ฟ้าดินเป็นพยาน พี่ซูบอกว่าฐานะทางบ้านยากจน ไม่คู่ควรกับตระกูลเรา ที่จริงแล้วก็เพื่อเห็นแก่ข้า เกรงว่าข้าจะลำบาก แต่ข้าไม่กลัวทั้งสิ้น ขอเพียงได้อยู่กับพี่ซู ข้ายอมทำทุกอย่าง...”
จ้าวซีอวิ๋นคลั่งรักอย่างถึงที่สุด คิดเองเออเองไปหมด แถมยังเมินเฉยต่อประโยคที่ซูจิ่งบอกว่าไม่ได้มีใจในเชิงชู้สาว กลับคิดไปว่าเขาทำไปเพื่อดีต่อนาง แม้หวังเป่าช่วนมาเห็นเข้า คงต้องแบ่งผักป่าให้กำมือหนึ่ง
“คุณหนูอวิ๋น ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ามิได้มีใจต่อคุณหนูอวิ๋นเลย มิใช่คู่ครองที่ดีของคุณหนู วันนี้ที่มาเยี่ยมเยือนก็เพื่อมาดูอาการของอาจารย์ใหญ่เท่านั้น มารดาข้ายังคงจับจ่ายซื้อของปีใหม่อยู่ที่ตลาด ในเมื่ออาจารย์ใหญ่ไม่เป็นอะไรมากแล้ว ข้ากับน้องชายคงต้องขอตัวลากลับก่อน”
ความอยากจะเผ่นหนีของซูจิ่งนั้นปิดไม่มิดแล้ว จ้าวถงเต๋อพอได้ยินว่าร่างกายไม่เป็นอะไรมาก ก็นึกว่าตนเองแสร้งทำไม่เหมือนพอ จึงเริ่มไออย่างหนักหน่วง ราวกับจะไอเอาคอหอยออกมาให้ได้
แต่ก็มิอาจรั้งใจที่อยากจะหนีของซูจิ่งไว้ได้
“ซูจิ่ง ไหน ๆ ก็มาแล้ว อยู่ทานข้าวกับน้องชายที่บ้านสักมื้อก่อนค่อยไปก็ยังไม่สายนี่!” ฮูหยินจ้าวเอ่ยรั้ง
ทานข้าวไม่ได้เด็ดขาด ซูเฉินรีบออกหน้ามาช่วยพูดไกล่เกลี่ย
“ขอบคุณในความหวังดีของฮูหยินจ้าวขอรับ วันนี้ท่านแม่ออกมาซื้อของปีใหม่เพียงลำพัง ยังต้องการให้พวกข้าสองพี่น้องช่วยถือของ อีกไม่นานจะถึงวันปีใหม่แล้ว ขออวยพรให้ฮูหยินจ้าว นายท่านจ้าว และคุณหนูจ้าว ประสบแต่โชคดีในวันปีใหม่ล่วงหน้าขอรับ”
ตอนที่มา ซูหว่านกำชับไว้เป็นพิเศษว่าเรื่องทานข้าวให้ปฏิเสธไปเสีย เพราะในอาหารและเครื่องดื่มนั้นง่ายต่อการลงมือที่สุด และมักจะสำเร็จเสียด้วย ในตำราก็เขียนไว้อย่างนี้ทั้งนั้น
ตอนนี้ซูเฉินเชื่อฟังคำพูดของซูหว่านที่สุด นางว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น
ซูจิ่งรู้สึกขอบคุณน้องชายที่ดีของเขาจากใจจริง ที่ช่วยแบ่งเบาภาระได้ทันท่วงที ช่างน่าปลื้มใจยิ่งนัก
“พวกเราให้บ่าวไปรับฮูหยินซูของเจ้ามาทานข้าวที่จวนด้วยกันก็ได้นี่!” ตระกูลจ้าวไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป หากพลาดครั้งนี้ไป รอจนซูจิ่งสอบได้เป็นจิ้นซื่อจริง ๆ ก็จะเป็นพวกเขาเองที่ไม่คู่ควร
เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
ตระกูลบัณฑิตเองก็แบ่งเป็นหลายระดับ หากได้เป็นถึงขุนนาง นั่นจึงจะนับเป็นตระกูลบัณฑิตชั้นสูง จิ้นซื่อสามารถเข้ารับราชการในราชสำนักได้ แต่บัณฑิตขั้นจวี่เหรินอย่างมากก็ได้เพียงเก็บตกตำแหน่งเล็ก ๆ ในท้องถิ่น เป็นแค่ขุนนางระดับเก้าเล็กน้อยเท่านั้น แล้วจะมีตำแหน่งให้เก็บตกแค่ไหนกันเชียว?
อีกทั้งขุนนางระดับเก้าก็เล็กเกินไป ไม่สง่างามพอ เมืองหลวงต่างหากคือสถานที่ที่ดีงาม ในปีก่อน ๆ จ้าวถงเต๋อวิ่งเต้นไปทั่ว ในที่สุดก็ใช้เงินซื้อตำแหน่งนายอำเภอมาได้ ทว่าเงินเดือนกลับน้อยนิดน่าสงสาร ไม่พอเลี้ยงดูทั้งครอบครัวด้วยซ้ำ ไม่นานจึงลาออกจากราชการ แล้วมาเปิดสำนักศึกษาที่อำเภอชิงเหอแห่งนี้
“แต่พวกท่านดูท่าทีของเขาสิเจ้าคะ มองข้าราวกับอสรพิษร้ายกาจ ครั้งหน้าเขาจะยังมาอีกหรือ?” จ้าวซีอวิ๋นดื้อดึงไม่ยอมฟังเหตุผลใด
“อวิ๋นเอ๋อร์อย่าร้อนใจไป ในใจข้ามีแผนแล้ว!” จ้าวถงเต๋อกลอกตาไปมา แผนการผุดขึ้นในใจ
……
ทางด้านซูจิ่ง เมื่อออกมาจากจวนสกุลจ้าว ใบหน้าก็บึ้งตึงทันที ซูเฉินมองเขาแล้วยังยิ้มกล่าวว่า
“พี่ใหญ่ ข้าไม่นึกเลยว่าจะมีหญิงสาวชอบท่านมากเพียงนี้?”
“นี่เจ้ายังจะมาล้อข้าอีกหรือ? เจ้าสาม เดี๋ยวนี้เจ้าก็เหลวไหลเป็นแล้ว” ซูจิ่งตบไหล่เขาไปหนึ่งที
ซูเฉินเพียงแต่ยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ สองพี่น้องไปยังร้านรับแลกเงินเพื่อรับมารดา นางแลกเหรียญทองแดงทั้งหมดเป็นตั๋วเงินเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเศษเงินเล็กน้อยติดตัวไว้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...