“ได้ ข้าตกลง!”
ซูหว่านตอบรับข้อเสนอของเขา ในที่สุดเถ้าแก่ก็ยอมให้พวกเขาเข้าไป และพาพวกเขาไปยังห้องครัวโดยตรง ในขณะนั้นคนในครัวกำลังว่างกันอยู่ เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ และมองว่าเด็กสาวคนนี้ไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย
ซูหว่านเริ่มลงมือทำอาหาร ส่วนซูอวิ๋นก็อยู่ข้างๆ อย่างใกล้ชิด เขาเองก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะมีลูกเล่นอะไร
เริ่มจากนำเห็ดมาล้างให้สะอาดหมดจด แล้วฉีกเป็นชิ้นพอดีคำนำไปลวกในน้ำเดือด จากนั้นก็เตรียมเครื่องเคียง ในตะกร้ามีเห็ดหูหนู นางจึงหยิบมาแช่น้ำประมาณหยิบมือ หั่นเนื้อหมูไม่ติดมันชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้ และที่ขาดไม่ได้คือหัวหอมและกระเทียม ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีพริก รสชาติของอาหารจึงเน้นไปทางจืด
เคล็ดลับสำคัญในตอนท้ายอยู่ที่หัวมันหัวเล็กที่นำมาหั่นเป็นเส้น ท่าทางของนางดูชำนาญมาก ราวกับว่าคุ้นเคยกับการทำอาหารเช่นนี้มานาน มีดคมกริบเคลื่อนไหวบนเขียงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนได้หัวมันแต่ละเส้นที่ละเอียดและสม่ำเสมอ
ซูอวิ๋นมองดูการกระทำทั้งหมดของนาง รู้สึกสงสัยระคนหงุดหงิด นางเป็นคุณหนูที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจริงหรือ เหตุใดงานครัวเหล่านี้ นางถึงทำราวกับเป็นงานประจำเช่นนี้
ซูหว่านห่อเส้นมันด้วยผ้าขาวบาง แล้วเริ่มทุบด้วยสันมีด จนกระทั่งแป้งจากมันไหลซึมออกมา จึงตักใส่ชามเล็กๆ แป้งมันนี้คือหัวใจสำคัญแห่งรสชาติที่เป็นเลิศ
นางเริ่มต้นด้วยการผัดกระเทียมสับ จากนั้นใส่เนื้อชิ้นลงไปผัดด้วยไฟแรง แล้วใส่เห็ดสนและเห็ดหูหนูทีละอย่างตามลำดับ ซึ่งตอนนี้อ่อนนุ่มมากหลังจากผ่านการลวกน้ำ ไม่มีส่วนที่เหนียวเหลืออยู่ เหลือไว้แต่ความนุ่มนวล ผัดทั้งหมดด้วยไฟแรง เติมน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็ราดด้วยแป้งมันที่ละลายน้ำแล้วลงไป เคี่ยวจนน้ำข้น แล้วตักขึ้น
ซูหว่านจัดอาหารใส่จานสองจาน และให้พวกเขาลองชิม วิธีการผัดของนางนั้นแปลกใหม่ ทำให้ผู้คนจากที่เคยเมินเฉย กลับกลายเป็นความใคร่รู้
เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติทีละคน สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนจากความกังขาเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อ
"เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย ไม่มีกลิ่นสาบของเนื้อเลย รสชาติสดมาก พอผัดรวมกับเห็ดหูหนูและเนื้อหมู รสชาติก็ยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก สดมาก สดจริงๆ!"
"แค่คนไม่กี่คนลองชิม อาจจะไม่รู้ถึงรสชาติที่แท้จริง ต้องให้ลูกค้าลองชิมด้วยถึงจะรู้จริง เถ้าแก่ ท่านว่าอย่างไร!"
ท่าทีที่เคยแสดงออกของเถ้าแก่แต่เดิม บัดนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อได้ลิ้มรสอาหารจานนั้นแล้ว ก็ไม่อาจฝืนใจกล่าวว่าไม่อร่อยได้ เพราะรสชาติเหนือกว่าฝีมือของพวกตนอย่างเทียบกันไม่ติด
เขาจึงสั่งให้ลูกน้องยกไปให้ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ได้ลองชิม เมื่อได้ชิมแล้ว ต่างก็เอ่ยปากสั่งอาหารชนิดนี้เพิ่ม แต่เนื่องจากอาหารจานนี้ยังมิได้กำหนดราคา และมิได้เขียนป้ายไว้ แล้วจะขายอย่างไรดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีลูกค้ามาอุดหนุน ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว
“เดิมพันแล้วก็ต้องตามข้อตกลง ข้าจะเหมาเห็ดสนของเจ้าทั้งหมดเลย ราคาตลาดสองอีแปะ แถมให้อีกอีแปะ เป็นอย่างไร”
"ไม่เป็นอย่างไรทั้งนั้น สามอีแปะน้อยไปหน่อย ห้าอีแปะต่อชั่งถึงจะขาย!"
เมื่อเห็นว่าการค้าได้ผล นางก็เห็นคุณค่าของมันเช่นกัน ถ้าไม่ขึ้นราคาตอนนี้ แล้วจะขึ้นตอนไหน
“ข้าเพิ่มให้เจ้าหนึ่งอีแปะแล้วนะ จะเอาห้าอีแปะมันเกินไปไหม ของป่าแบบนี้มันไม่ได้ราคาขนาดนั้น ข้าไปซื้อของคนอื่นก็ได้!" เถ้าแก่ไม่ยอมลดราวาศอก
แต่ซูหว่านก็มีเหตุผลของนาง
“เถ้าแก่ เมื่อครู่คนในครัวของท่านทุกคนเห็นกับตาว่าข้าทำอะไรไปบ้าง ข้าสอนเคล็ดลับการเพิ่มรสชาติอาหารให้พวกท่านไปแล้ว ก็ควรจะเก็บค่าเล่าเรียนสักหน่อยนะ พวกท่านก็เห็นด้วยว่ามันอร่อยจริงๆ แถมตอนนี้ก็มีลูกค้าอยากจะสั่งไปกินอีก ทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือซื้อเห็ดของข้าไปทำอาหาร ถ้าท่านไม่ยอม ข้าก็จะไปสอนเคล็ดลับนี้ให้โรงเตี๊ยมอื่น แน่นอนว่าต้องมีคนยอมจ่ายราคาที่ข้าตั้งไว้แน่ๆ อีกอย่าง เห็ดสนหนึ่งชั่ง ทำอาหารได้ตั้งสามจาน กำไรเน้นๆ เลยนะ!"
แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้เคล็ดลับนี้ ย่อมต้องอยากเก็บไว้คนเดียว เพื่อที่จะได้ทำเงินเพิ่มในช่วงเวลานี้ของทุกปี เมื่อได้ยินซูหว่านบอกว่าจะขายให้โรงเตี๊ยมอื่น เขาก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
“นังหนูคนนี้ร้ายกาจจริงๆ อายุแค่นี้แต่มีหัวการค้าขนาดนี้ ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ เอาล่ะ ตามที่เจ้าว่า ห้าอีแปะต่อชั่ง อาไฉ ไปเอาตาชั่งมา!'
“เถ้าแก่เป็นคนใจกว้างจริงๆ!” ซูหว่านบรรลุเป้าหมาย จึงยิ้มอย่างพึงพอใจ
เจ้าของโรงเตี๊ยมก็จนปัญญาไปกับนางเช่นกัน
“หนูน้อย เจ้าก็ต้องมีน้ำใจกับข้าด้วยนะ วันนี้ข้าอุดหนุนเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องให้ความสะดวกแก่ข้าบ้าง วิธีนี้เจ้าห้ามบอกใครนะ อีกหน่อยถ้าเจ้ายังมีเห็ด หรือแม้แต่ทุกๆ ปี ข้าก็ยินดีจะซื้อเจ้าในราคาสูงกว่าตลาดหนึ่งอีแปะ ตกลงไหม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม