“อืม พี่สี่พูดถูก!”
เดิมทีซูหว่านก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย นางจึงทำได้เพียงคล้อยตามสิ่งที่เขาพูด แล้วรีบจบบทสนทนาให้เร็วที่สุด
พวกเขารออยู่ในตัวอำเภอนานพอสมควร จนเกือบจะถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ตามเวลาที่นัดหมายกับตาเฒ่าหงที่หน้าประตูอำเภอ เหอเจียวหลันกับเฉินอิ้งหงก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน แต่ในคานหาบของพวกนางยังคงมีเห็ดสนเหลืออยู่อีกมาก ดูเหมือนว่าวันนี้พวกนางขายของไม่ดีเลย
เมื่อขายไม่หมด ก็คงต้องเอากลับไปตากแห้งกินเอง
“มากันครบแล้ว งั้นพวกเราก็เตรียมตัวกลับกันเถอะ ขึ้นรถได้แล้ว!" ตาเฒ่าหงเห็นสองพี่น้องก็เอ่ยเรียก
ในคานหาบของซูอวิ๋นมีเพียงของที่เพิ่งซื้อมา ส่วนเห็ดสนเหล่านั้นขายหมดเกลี้ยงแล้ว เหอเจียวหลันมองดูทั้งสองคนด้วยความตกตะลึง
“พวกเจ้าขายหมดเกลี้ยงเลยหรือ”
ซูหว่านพยักหน้า
“ใช่ พวกเราเปลี่ยนที่ขายน่ะ ก็เลยขายได้จนหมด!”
ราวกับรู้ว่านางจะต้องถามว่าทำอย่างไร ซูหว่านจึงเอ่ยออกมาทีเดียวจบ ไม่ต้องให้มีคำถามตามมาอีก
"ทำไมเจ้าถึงโชคดีเช่นนี้หนอ ดูของเราสองคนสิ เหลือเต็มไปหมด!" เหอเจียวหลันเอ่ยอย่างอิจฉาในความโชคดีของซูหว่าน
ซูหว่านเพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร รถม้าเริ่มเคลื่อนกลับสู่หมู่บ้าน
เมื่อลงจากรถที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ซูหว่านยังคงพูดไม่หยุดเกี่ยวกับการทำอาหารเย็นในวันนี้ แป้งที่ซื้อมาใหม่จะนำมาทำหมั่นโถว ส่วนซาลาเปาจะแบ่งให้พี่ชายอย่างไรเมื่อกลับถึงบ้าน แต่ซูอวิ๋นตอบอย่างขอไปที มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาใส่ใจ
"มื้อเย็นตอนที่ข้าทำอาหาร เจ้ามาดูให้หน่อยได้ไหม มาช่วยแนะนำหน่อยสิ”
ซูอวิ๋นรู้สึกว่าตอนนี้ทักษะการทำอาหารของซูหว่านดีกว่าเขาเสียอีก เขาสนใจการทำอาหารเป็นพิเศษ ยังใฝ่ฝันที่จะเปิดโรงเตี๊ยมในอนาคต มีการค้าเป็นของตัวเอง ทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้น
“พี่สี่อุตส่าห์ตั้งใจขนาดนี้ ข้าก็พอจะชี้แนะให้ได้บ้าง!" ซูหว่านจงใจพูดจาประชดประชัน จนซูอวิ๋นกลอกตาใส่
“พอให้หน้าหน่อย ก็เหลิงเชียวนะ”
เวลานี้แทบทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้านกำลังตากข้าวเปลือกโดยใช้เสื่อไม้ไผ่สาน ที่บ้านของพวกเขาก็เช่นกัน แต่สองพี่น้องยังคงไม่รู้ว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนที่บ้านของพวกเขา
สี่พี่น้องตระกูลซูยืนอยู่ในลานบ้าน ยังมีชายร่างกำยำอีกห้าหกคนยืนอยู่ด้วย หัวหน้ากลุ่มคือชายที่สวมเสื้อผ้าไหมสีน้ำตาล ที่ปากคาบกล้องยาสูบ ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน
“ข้ามีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร พวกเจ้าบ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว ถ้าไม่คืนเงิน ข้าจะขนข้าวเปลือกพวกนี้ไปให้หมด แล้วจะไปแจ้งทางการด้วย เจ้าไม่ได้กำลังเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาจงอวิ๋นหรอกหรือ ปีหน้ายังอยากสอบจอหงวนอยู่ไหม ถ้าติดคุกขึ้นมา มันจะเป็นมลทินติดตัว ไม่มีสิทธิ์สอบเลยนะ!"
ชายผู้นั้นชี้หน้าซูจิ่ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการข่มขู่
ทันทีที่ซูหว่านและซูอวิ๋นกลับมาก็เห็นเหตุการณ์ทันที เมื่อได้ยินว่าไม่สามารถเข้าร่วมการสอบจอหงวนได้ สีหน้าของซูจิ่งก็ซีดเผือดลงทันที
"ทำแบบนี้ได้อย่างไร พวกเราชดใช้เงินที่ติดค้างจนหมดแล้ว สามสิบตำลึงไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว แล้วทำไมตอนนี้จึงกลับคำ จะเอาดอกเบี้ยอีกล่ะ!" ซูเฉินร้อนใจมาก รีบก้าวไปข้างหน้าหวังจะลงมือ แต่ถูกซูมู่ดึงตัวไว้
“พวกเจ้ากำลังขู่กรรโชก พวกเราต่างหากที่ควรแจ้งทางการ!" ซูมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"แจ้งทางการอย่างนั้นหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไร ในเมื่อข้ามีสัญญา มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน เจ้าจะเอาอะไรมาฟ้องข้า” วันนี้เขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวสักนิด
"ดูให้ชัดๆ นี่เขียนไว้ชัดเจนว่า ถ้าสามเดือนไม่คืน จะเริ่มคิดดอกเบี้ย ต่อมาพวกเจ้าถึงจะทยอยคืนมาสามสิบตำลึง แต่ดอกเบี้ยยังคืนไม่หมด ดอกเบี้ยห้าตำลึง นี่ผ่านมาปีกว่าแล้ว รวมๆ สี่ร้อยกว่าวัน วันละห้าเฉียน พวกเจ้ายังค้างรวมยี่สิบห้าตำลึง ลายนิ้วมือกับชื่อนี่ พ่อของพวกเจ้าลงนามประทับตราเองกับมือเชียว อย่าคิดจะเบี้ยว!"
พี่น้องทั้งหลายเพ่งมองดูอย่างละเอียด ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม