คิ้วของซูจิ่งขมวดมุ่น พี่น้องคนอื่นๆ ของตระกูลซูก็กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
"เถ้าแก่จาง ท่านว่าแบบนี้ดีไหม ให้เวลาพวกเราสักหนึ่งเดือน พวกเราจะหาเงินที่ติดค้างมาคืนให้แน่นอน ส่วนดอกเบี้ยท่านก็คิดไป หากหนึ่งเดือนให้หลังพวกเรายังไม่สามารถชำระหนี้ได้ ไม่ว่าท่านจะไปแจ้งทางการ หรือจะทำอย่างไร พวกเราก็ยินยอมให้ท่านจัดการแต่โดยดี!"
ซูหว่านก้าวออกมาอีกครั้ง และเริ่มเจรจากับเถ้าแก่จาง
“หวานหว่าน อย่าวู่วาม!” ซูจิ่งคว้ามือของซูหว่านไว้ นางกล้าพูดจาโอ้อวดแบบนั้นได้อย่างไร เดือนเดียวจะไปหาเงินตั้งยี่สิบห้าตำลึงมาจากไหนกัน
ท่านพ่อท่านแม่ทำงานหนักทั้งปี ยังหาเงินได้ไม่ถึงเลย!
“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง หวานหว่านมีวิธี!"
ซูหว่านส่งสายตา บอกเป็นเชิงให้เขาสบายใจ
“หนึ่งเดือนงั้นรึ ใครจะเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่กลับคำพูดอีกในภายหลัง” เถ้าแก่จางเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ มองว่านี่เป็นเพียงอุบายเพื่อประวิงเวลาเท่านั้น
“เถ้าแก่จาง ข้าเคยเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกู้มาตั้งสิบกว่าปี ความสัมพันธ์กับทางนั้นก็แน่นแฟ้น ถ้าถึงคราวอับจนจริงๆ ข้าย่อมมีทางออกของตัวเอง เพียงแต่ท่านจะไม่เห็นแก่หน้าพวกเราสักหน่อยหรือ”
ซูหว่านจำต้องย้ายมาอยู่ตระกูลซูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ซูหว่าน พวกเราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลกู้!" ซูอวิ๋นร้อนใจ รีบพูดด้วยความโกรธจนหน้าแดง
“พี่สี่เงียบไปเลย!" ซูหว่านรู้สึกว่าเขานี่ช่างโง่เขลาเสียจริง
ซูอวิ๋นโกรธจนแทบคลั่ง
ชายหน้าลิงตรึกตรองถึงผลได้ผลเสียอยู่ครู่ใหญ่ พินิจพิเคราะห์คำกล่าวของนางอย่างถี่ถ้วน ความหมายของนางคือ เห็นแก่หน้าตระกูลกู้ ให้เวลานางหนึ่งเดือน หากภายในหนึ่งเดือนนางไม่สามารถหาเงินมาได้จริง นางก็จะหาทางไปร้องขอจากตระกูลกู้เอง และหากว่าเขาต้องผิดใจกับตระกูลกู้ด้วยเหตุนี้ ก็คงไม่คุ้มกันเลย
ในที่สุด เขาตัดสินใจ ยอมผ่อนปรนให้พวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
“จะผ่อนผันให้พวกเจ้าหนึ่งเดือนก็ใช่ว่าจะไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่ดอกเบี้ยต้องบวกเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หนึ่งเดือนให้หลังเจ้าต้องคืนข้าสามสิบตำลึง หากเจ้าตกลง เราก็จะลงชื่อเขียนสัญญาตรงนี้ แล้วข้าจะกลับไปรอฟังข่าวดี!"
คิดดอกเบี้ยวันละห้าเฉียน หนึ่งเดือนคำนวณแล้วก็แค่หนึ่งตำลึงครึ่งเท่านั้น แต่เขากลับเพิ่มขึ้นมาตั้งมากมายแบบนี้ รังแกกันชัดๆ!
"ได้ ตกลงตามนี้เลย!" ซูหว่านตอบรับ
"หวานหว่าน ข้อตกลงนี่มันเอาเปรียบชัดๆ เจ้ารับปากไปได้อย่างไร" ซูจิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเงินต้นยี่สิบห้าตำลึงว่าจะคืนได้หรือไม่ นี่ยังต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกห้าตำลึง
"ไม่เป็นไรพี่ใหญ่ ข้าคืนได้!" ซูหว่านยืนกราน ซูจิ่งจึงพูดอะไรไม่ได้
“ดี! ทั้งบ้านมีลูกผู้ชายตั้งมากมาย ยังไม่เด็ดขาดเท่าเด็กผู้หญิงอย่างเจ้าเลย ตกลงตามนี้ ไปเตรียมกระดาษและหมึกมาทำสัญญากันเดี๋ยวนี้!" เขาสั่งลูกน้องให้ไปหยิบเครื่องเขียนมาทันที
ซูหว่านยังมีทางออก สุดท้ายนางก็ยังมีแหวนทองคำวงนั้นอยู่ เอาไปขายก็ได้เงินแล้ว
เมื่อชายหน้าลิงเขียนสัญญาเสร็จ ซูหว่านก็รับมาอ่านดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จึงลงนามและประทับลายนิ้วมือ
"อีกเดือนหนึ่งข้าจะกลับมา หวังว่าพวกเจ้าอย่าบีบให้ข้าต้องลงมือนะ!"
ชายหน้าลิงเก็บสัญญา แล้วพาพวกพ้องเดินย่างกรายจากไป
ซูอวิ๋นถึงกับโมโห ระเบิดโทสะใส่ซูหว่าน
"ซูหว่าน เจ้าโง่หรืออย่างไร เจ้ารับปากว่าจะคืนเงินสามสิบตำลึง เวลาหนึ่งเดือนพวกเราจะไปหาเงินสามสิบตำลึงมาจากไหน ข้าบอกเจ้าเลยนะว่า ถึงแม้ตระกูลซูของพวกเราจะจนตรอกเพียงใด ก็ไม่มีวันรับความช่วยเหลือจากตระกูลกู้!"
วันนั้นฮูหยินกู้พูดกับพวกเขาว่าอย่างไร นางพูดว่า ข้าช่วยเลี้ยงดูลูกสาวของพวกเจ้ามาอย่างดี ก็นับว่าเมตตามากแล้ว แต่ลูกสาวของข้าอยู่กับพวกเจ้าไม่เคยมีวันสุขสบาย พวกเขาอย่าหวังจะอาศัยความผูกพันกับเย่ว์เย่ว์มาเกาะแกะตระกูลกู้ของพวกนาง!
“พี่สี่ ที่ข้ารับปากเขาเพราะข้ามีหนทางของข้าเอง พี่วางใจ ข้าไม่ได้คิดที่จะรับความช่วยเหลือจากตระกูลกู้ คำพูดพวกนั้นเป็นเพียงกลอุบายเพื่อให้เขาได้ตรึกตรองผลได้ผลเสีย หากข้าไม่พูดแบบนั้น พวกเขาจะยอมกลับไปหรือ
ส่วนเรื่องเงิน ข้าจะหาหนทางเอง ข้ามีแผนการในใจแล้ว พี่ๆ ทั้งหลายรอดูแล้วกัน!”
“ยิ่งไปกว่านั้น เงินสามสิบตำลึงนั้นจะมีค่าควรแก่หน้าตา เมื่อเทียบกับอนาคตของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่หมั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างหนักมานานปี พลาดโอกาสไปกี่ครั้งแล้ว จะปล่อยให้พลาดโอกาสอีกได้อย่างไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม