ในวันถัดมานางก็แบกสินค้าไปที่ร้านขายของชำ ร้านขายของชำร้านนี้บริหารกิจการโดยสามีภรรยาคู่หนึ่ง
พวกเขาไม่เคยได้ยินสบู่นมแพะมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของซูหว่านที่บอกไปว่าจะเก็บเงินแค่ครึ่งหนึ่งก่อน ส่วนที่เหลือค่อยชำระให้หลังจากขายหมดแล้ว
เพราะซูหว่านฝากขายสบู่มากถึงหกร้อยก้อนในคราวเดียว รวมมูลค่าแล้วก็กว่าสองร้อยตำลึงเงินเลยทีเดียวซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย พวกเขาจึงไม่กล้าเสี่ยง
แต่ว่าพวกเขากำลังกินส่วนแบ่งจากกำไร หากลองคำนวณแล้วก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร แต่พวกเขาไม่ยอมจ่ายเงินก่อน โดยบอกว่าจะจ่ายเงินก็ต่อเมื่อขายสบู่ได้ทั้งหมดแล้วเท่านั้น
เรื่องนี้ซูหว่านพอเข้าใจได้ พวกเขาคิดแบบนี้ก็ไม่ผิดอะไร เพราะมันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย
ซูหว่านทำการค้าโดยยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้นนางจึงตกลงทำตามข้อเสนอของสามีภรรยาคู่นั้นนั่น ที่จะชำระเงินเมื่อสบู่นมแพะขายหมดแล้ว
อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า นางจะส่งคนมาดูอีกครั้งแต่ซูเฉินก็ไม่สบายใจ เขาดึงซูหว่านเข้ามาหาแล้วกระซิบเบาๆ ว่า
“ตอนนี้เจ้าไม่ได้เงินเลยสักอีแปะ ถ้าเกิดพวกเขาขายของหมดแล้วเกิดชักดาบหอบเงินหนีไปจะทำยังไง นี่มันเงินตั้งสองร้อยกว่าตำลึงเชียวนะ”
สบู่ชุดนี้มีมูลค่าไม่น้อยเลย มากพอที่จะใช้ชีวิตสุขสบายไปได้อีกนานเลยนะ
“พี่สาม ท่านมองการณ์สั้นไปแล้วนะ ข้าไปสืบมาแล้ว ร้านขายของชำแห่งนี้เปิดกิจการมาสิบปีแล้ว กำไรที่ได้ไม่ได้มีแค่สองร้อยตำลึงอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัวพวกเขาจะหนี อีกอย่างพวกเขารู้คุณค่าของสบู่นมแพะ เพราะขายแค่รอบเดียวก็ได้กำไรเปล่า ๆ ถึงสามสิบกว่าตำลึง ถ้าเอามาอีกสักสองสามรอบสองร้อยตำลึงก็อยู่ในมือแล้ว การค้าระยะยาวเช่นนี้ทำไมต้องเสี่ยงเพื่อเงินสองร้อยตำลึงแล้วทิ้งความมั่นคงที่มีอยู่ตอนนี้ไปด้วยล่ะ มันคุ้มกันหรือ?
เงินมีวันที่ต้องใช้หมดเข้าสักวัน แต่ถ้าร้านค้ายังอยู่ธุรกิจนี้ก็จะไม่ขาดตอน นั่นคือหลักประกันอย่างหนึ่ง แล้วถ้าเป็นท่านล่ะ ท่านจะเลือกโลภเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้หรือ?”
ซูหว่านอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทนว่า เงินสองร้อยตำลึงฟังดูเหมือนเยอะในตอนแรก แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้มากอะไรเลย ไม่ถึงขั้นทำให้ร่ำรวยได้
พี่สามไม่ได้อยู่แวดวงการค้า เขาเลยคิดอะไรไม่เยอะจึงง่ายที่จะถูกผลประโยชน์เล็กน้อยตรงหน้าปิดตาจนมองไม่เห็นแก่นแท้
แต่เขาก็ไม่ได้ผิดอะไรเพราะคนเรายากจะหยั่งรู้ใจได้ การระแวดระวังผู้อื่นไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ซูหว่านอธิบายให้เขาฟังแบบนั้นเขาก็เข้าใจทันทีและรู้สึกว่าสมเหตุสมผลอย่างที่ว่าจริงๆ
สองร้อยตำลึงฟังดูเหมือนเยอะ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ถือว่ามากอะไรนัก ไม่สามารถทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปได้นานเท่าไร
“เรื่องการค้าพวกนี้ต้องยกให้เจ้าจริง ๆ ถ้าให้ข้าทำละก็ ข้าคงขาดทุนยับเยินไปแล้ว”
ในเช้าวันรุ่งขึ้นซูหว่านก็รีบไปที่ร้านขายของชำ การเจรจาทางการค้าค่อนข้างราบรื่น เนื่องจากร้านขายของชำในอำเภอชิงหย่วนแห่งนี้เคยได้ยินเรื่องสบู่นมแพะจากชิงเหอมาบ้างแล้ว
เขาจึงไม่ได้บอกว่าจะจ่ายเงินให้หลังจากขายหมดแล้ว แต่จ่ายเงินให้ก่อนครึ่งหนึ่ง ซึ่งบอกได้เลยว่าการมีชื่อเสียงอยู่บ้างย่อมดีกว่า พูดง่ายกว่าคนที่ไม่รู้จัก
สบู่หกร้อยก้อน เงินครึ่งหนึ่งก็ประมาณหนึ่งร้อยตำลึง
ในเช้าวันนั้นก็จัดการเรื่องสบู่นมแพะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในบ่ายวันเดียวกันซูหว่านกับซูเฉินและต้าสู่ก็ขับรถม้าออกจากเมืองมา และมุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของท่านลุง
จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเก็บมากมายนัก ก็แค่จัดบ้านให้เรียบร้อยสักหน่อย และก็นำเอกสารประจำตัวที่สำคัญๆ และพวกโฉนดที่ดินของครอบครัว รวมไปถึงเงินที่ท่านป้าบอกว่าฝังเอาไว้ยี่สิบตำลึงที่ใต้ต้นไม้ในลานบ้านกลับไปด้วย
นางบอกว่านั่นเป็นเงินสำหรับค่าสินสอดทองหมั้นให้หยางชิงชิง
บ้านของท่านลุงอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอมากนัก ระยะทางพอ ๆ กับบ้านเกิดของซูหว่านกับอำเภอชิงเหอเท่านั้นเอง
ไม่นานก็มาถึงบ้านท่านลุงแล้ว สัตว์เลี้ยงของบ้านท่านลุงได้รับการเลี้ยงดูโดยเพื่อนบ้านข้างๆ ผ่านไปนานขนาดนี้ก็ไม่มีใครพูดว่าจะเลิกเลี้ยงเลย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...