เฮ้อ ตัวนางนั้น นอกจากจะมีหัวการค้าอยู่บ้างแล้ว สิ่งที่คุณหนูพึงมีพึงเป็น นางกลับไม่เชี่ยวชาญเลยสักอย่าง
ในภายภาคหน้าเมื่อต้องเข้าสู่เมืองหลวง ก็จำต้องมีวิชาความรู้ที่แท้จริงติดตัวไว้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ หรือจะเป็นบทกวี เพลงขับขาน การชิมชา สนทนาเรื่องเครื่องหอม อย่างน้อยก็ต้องมีสักอย่างหนึ่งที่พอจะอวดใครเขาได้บ้างมิใช่หรือ?
น่าเสียดายนัก นางไม่ประสีประสาในเรื่องเหล่านี้เลย สิ่งเดียวที่พอจะรู้เรื่องอยู่บ้างก็คือฝีมือการชงชาเพียงเล็กน้อยที่ได้ร่ำเรียนมาจากแม่นางเซี่ยเท่านั้น
ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ การต่อสู้ก็ยังไม่สิ้นสุด นางคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องหาวิชาเลือกให้กับตัวเองเสียแล้ว
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูหว่านพาหลิวอวิ๋นและหลิวอิ๋งติดตามบิดาและพี่ชายเพื่อเดินทางกลับหุบเขาซานหยาง เจียงอวี้เดินตามแม่ซูออกมาส่งนางที่หน้าประตู
ซูหว่านหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง พอดีกับที่สบเข้ากับสายตาอันชวนหวั่นไหวคู่นั้นของเขา นางคิดในใจว่าการจากกันครั้งนี้คงไม่ได้พบหน้ากันอีกเป็นเดือน
เมื่อคืนเขาบอกว่าจะไปเมืองเหยี่ยนโจว หวังว่าคงไม่ใช่การไปสู้รบฆ่าฟัน
พอขึ้นรถม้าได้ก็ผล็อยหลับไป ซูหว่านหนุนนอนบนตักของหลิวอิ๋งอย่างเป็นสุข
หลิวอวิ๋นนั่งบังคับรถม้าอยู่ด้านนอกกับเด็กรับใช้ กว่าจะกลับถึงหุบเขาซานหยางก็เป็นเวลาพลบค่ำ พอเคยชินกับการอยู่ในจวนหลังใหญ่ กลับมายังลานบ้านเล็ก ๆ เช่นนี้กลับรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ทว่าเสียงจักจั่นและเสียงกบร้องที่ดังระงมอยู่ภายนอก กลับทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างหาได้ยากในยามนี้
วันต่อมา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าท่านจอหงวนกลับมาแล้ว ต่างก็พากันมามุงดูอยู่ที่บ้านตระกูลซูด้วยความใคร่รู้ อยากจะให้ซูจิ่งสวมชุดจอหงวนให้พวกเขาได้ยลโฉม
น่าเสียดายที่ซูจิ่งไม่ได้นำชุดจอหงวนกลับมาด้วย แต่พ่อซูก็ได้เตรียมขนมและผลไม้อบแห้งไว้มากมายเพื่อแจกจ่ายให้แก่เพื่อนบ้าน ถือเป็นการแบ่งปันเรื่องมงคล
ในสายตาของพวกเขา ยามนี้ตระกูลซูก็คือผู้ที่คนหนึ่งได้ดี ที่เหลือก็พลอยได้ดีไปด้วยแล้ว ได้หลุดพ้นจากชีวิตชาวนาที่ยากจน กลายเป็นชนชั้นสูงขึ้นมา ทุกคนต่างก็หวังที่จะเข้ามาตีสนิท
ในอนาคต ตระกูลซูจะเป็นเพียงตำนานเล่าขานบทหนึ่งของหุบเขาซานหยาง ที่จะถูกบอกเล่าสืบกันไป
ซูจิ่งติดตามพ่อซูขึ้นเขาไปเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทั้งยังปรึกษาหารือเรื่องการจ้างคนมาซ่อมแซมสุสาน ส่วนซูหว่านเองหลังจากกลับมาก็ยังไม่เคยไปเคารพหลุมศพของบรรพบุรุษอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที ดังนั้นนางจึงต้องปีนป่ายขึ้นเขาเพื่อไปปัดกวาดสุสานและเซ่นไหว้ด้วยเช่นกัน
สุสานของปู่และย่าของซูหว่านตั้งอยู่บริเวณกลางหุบเขา อีกทั้งยังต้องไปเคารพหลุมศพของปู่ทวดและย่าทวดด้วย
พ่อซูและซูจิ่งต่างถือเคียวมาคนละด้าม ประเดี๋ยวพวกเขาจะต้องลงมือตัดหญ้ารกที่ขึ้นอยู่รอบ ๆ สุสานด้วยตนเอง
ซูหว่านมีหน้าที่จัดวางของเซ่นไหว้และโต๊ะเครื่องหอม หลังจากกลับไปแล้ว พ่อซูจะไปติดต่อช่างที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อมสุสานโดยเฉพาะ เพื่อให้มาตกแต่งบูรณะสุสานแห่งนี้ให้งดงาม ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากลูกหลาน และยังหวังให้ดวงวิญญาณของพวกเขาบนสรวงสวรรค์ช่วยคุ้มครองให้ลูกหลานรุ่นหลังอยู่เย็นเป็นสุข ก้าวหน้าในชีวิตยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เพราะกลัวจะโดนผึ้งต่อย นางจึงป้องกันตัวเองอย่างดี แม้ว่าโดยปกติแล้วผึ้งพวกนี้จะไม่ต่อยคน แต่เมื่อมีจำนวนมาก การป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า
นางสวมหมวกปีกกว้างที่มีผ้าโปร่งคลุมหน้าแล้วจึงเปิดรังผึ้งออกดู ดอกไม้ในสวนกำลังเบ่งบานสะพรั่ง ทั้งกุหลาบสีแดงสดและกุหลาบเลื้อยสีชมพูอมแดงเลื้อยปกคลุมรั้วจนหมดสิ้น งดงามยิ่งนัก
ภายในรังผึ้งเริ่มมีแผงรวงผึ้งแล้ว ทั้งยังมองเห็นน้ำผึ้งเคลือบอยู่ด้านบนได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ปริมาณยังไม่มากพอ คงต้องปล่อยไว้ก่อน
น้ำผึ้งที่ได้จากเกสรดอกไม้บริสุทธิ์เช่นนี้ เพียงได้กลิ่นก็หอมหวานชื่นใจ แลดูข้นเหนียวยิ่งนัก
เมื่อหลิวอิ๋งเห็นภาพนั้นก็เอาแต่กังวลใจ กลัวว่าคุณหนูของตนจะถูกผึ้งต่อยเอา
“คุณหนู เหตุใดท่านจึงเลี้ยงผึ้งไว้ในสวนมากมายถึงเพียงนี้เจ้าคะ? น่ากลัวจะตายไป หากโดนมันต่อยเข้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”
“ปกติแล้วพวกมันไม่ต่อยคน อีกทั้งผึ้งพันธุ์นี้ยังจัดเป็นแมลงที่มีประโยชน์ พวกมันผลิตน้ำผึ้งได้ ซึ่งมีสรรพคุณบำรุงความงามและบำรุงร่างกาย นำมาชงน้ำดื่มก็ดีนัก ดีต่อสตรีมากกว่าน้ำตาลทรายแดงเสียอีก ในตลาดก็ขายแพงลิบลิ่ว มีเงินก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้เสมอไป”
“ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้น่าจะยังไม่มีผู้ใดเชี่ยวชาญวิธีการเลี้ยงผึ้ง หากข้าทำสำเร็จที่นี่ก็นับเป็นเจ้าแรก นี่ล้วนแล้วแต่เป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น ตอนนี้เจ้ายังคิดว่าพวกมันน่ากลัวอยู่อีกหรือไม่?” ซูหว่านอธิบายให้นางฟัง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...