เจียงอวิ๋นเฮ่อจึงถามเขาว่า
“เจ้าหนู ในภายภาคหน้าอยากเป็นยอดวีรบุรุษหรือไม่?”
พอได้ยินคำว่ายอดวีรบุรุษ โลหิตในกายของซูเฉินตัวน้อยก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที เขาพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ข้าอยากเป็นยอดวีรบุรุษ ยอดวีรบุรุษผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศที่สุดในปฐพี!”
ในตอนนั้น ในหมู่บ้านมีพี่ชายคนหนึ่งที่มักจะไปฟังเรื่องเล่าจากนักเล่านิทานอยู่เสมอ เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับวีรบุรุษที่อุทิศตนตอบแทนคุณแผ่นดิน และเรื่องที่เขาได้ฟังบ่อยที่สุดก็คือเรื่องราวของเจียงกั๋วกงผู้สร้างชื่อเกรียงไกรและองอาจน่าเกรงขามในสนามรบเพียงใด นั่นคือวีรบุรุษในดวงใจของเขา
“อืม เช่นนั้นหลังจากที่เจ้าได้เป็นยอดวีรบุรุษแล้ว สิ่งใดคือสิ่งที่เจ้าอยากทำมากที่สุดหรือ?” เจียงอวิ๋นเฮ่อยิ้มพลางพยักหน้า แล้วถามต่อ
ซูเฉินน้อยครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตอบว่า
“ในอนาคตข้าจะเป็นแม่ทัพใหญ่ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน”
และเป็นเพราะแววตาและน้ำเสียงอันแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความมุ่งหวังของเด็กน้อยผู้นี้นี่เอง เจียงอวิ๋นเฮ่อจึงตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ และถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดที่ตนมีให้แก่เขา
สิบปีผ่านไปในชั่วพริบตา ซูเฉินก็เรียนรู้จนสิ้นแล้ว เจียงอวิ๋นเฮ่อไม่มีสิ่งใดจะสอนเขาอีก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเขายังขาดโอกาสในการฝึกฝนจากประสบการณ์จริง แต่เชื่อว่าเมื่อเขากลับมาจากสนามรบ จะต้องเก่งกาจเหนือกว่าผู้เป็นอาจารย์อย่างแน่นอน
สิบปีให้หลัง ความแน่วแน่และความมุ่งหวังในแววตาของซูเฉินมีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นมิได้ลดน้อยลงเลย ทำให้ซูจิ่งถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ ในสนามรบนั้นมีแต่เงาคมดาบ ทั้งยังพลิกผันสุดจะคาดเดา มิได้เหมือนกับข้าที่อยู่ที่แม่น้ำเซวียนเหอ แม้สภาพจะยากลำบากไปบ้าง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้องเสี่ยงถึงชีวิต หากเจ้าไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับบ้านเมื่อใด เกียรติยศชื่อเสียงและลาภยศบนสมรภูมิรบใช่ว่าจะได้มาโดยง่าย”
เมื่อซูจิ่งได้ฟังวาจาของซูเฉิน เขาก็คล้อยตามในทันที แต่ก็ยังคงต้องถามย้ำอีกครั้งว่าคิดดีแล้วใช่หรือไม่?
ซูเฉินพยักหน้าอีกครั้ง เขามั่นใจอย่างที่สุด และไม่เคยเผื่อหนทางให้ตนเองได้เสียใจเลย เขารอคอยวันเวลานี้มานานแสนนานแล้ว
“พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าการกระทำโดยพลการของข้าเป็นเรื่องผิด ข้าผิดต่อท่านพ่อท่านแม่ ผิดต่อพี่น้องและหวานหว่าน ด้วยนิสัยของท่านแม่แล้ว หากนางรู้เรื่องนี้เข้าก็คงต้องเสียใจเป็นอย่างมาก บุตรผู้นี้มิอาจอยู่ปรนนิบัติทำหน้าที่ของลูกกตัญญูได้ แต่เพื่อส่วนรวมแล้ว ก็จำต้องสละเรื่องส่วนตนไว้ก่อน หากวันใดข้าสามารถกลับมาจากสนามรบได้อย่างปลอดภัย ข้าย่อมจะกลับมาทดแทนความกตัญญูที่ขาดหายไปนี้”
“หวังว่าพี่ใหญ่และหวานหว่านจะช่วยข้าปลอบใจท่านแม่และดูแลนางให้ดี ที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะข้าเข้าใจดีว่า หากข้าต้องประสบเคราะห์ภัยอันใดไป อย่างน้อยท่านพ่อท่านแม่ก็ยังมีคนคอยดูแลยามแก่เฒ่า...”
“หยุดก่อน พี่สาม คำพูดไม่เป็นมงคลเช่นนี้อย่าได้พูดออกมาอีกเลย”
ซูหว่านเอ่ยขัดจังหวะคำพูดของซูเฉิน
ซูเฉินหันไปมองนาง และได้ยินซูหว่านกล่าวต่อว่า
ระหว่างมื้อค่ำ เมื่อเห็นว่าแม่ซูยังเจริญอาหารดีอยู่ พวกเขาจึงยังไม่รีบร้อนที่จะพูด รอจนกระทั่งนางวางตะเกียบลงแล้ว ซูเฉินจึงเอ่ยปากพูดอย่างระมัดระวัง
“ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะเรียนให้ท่านทราบขอรับ!”
“เรื่องอันใดรึ ทำทีอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไปได้?” แม่ซูมองปราดเดียวก็รู้ว่าบุตรชายคนที่สามมีท่าทีผิดปกติไป แต่ก็ยังคงยิ้มอยู่
บุตรชายทั้งหลายในบ้านต่างก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามก็ถึงวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว น่าเสียดายที่เจ้าใหญ่ ต้องไปรับตำแหน่ง เจ้ารองก็ออกเดินทางรอนแรมไปไกล ตอนนี้จึงเหลือเพียงเจ้าสาม นางจึงแอบหวังในใจว่าคงจะเป็นข่าวดี
เช่น อาจจะถูกใจสตรีบ้านใดเข้าแล้ว
ทว่า ซูเฉินกลับเอ่ยคำที่สร้างความตกตะลึง
“ท่านแม่ ข้าสมัครเป็นทหารแล้ว มะรืนนี้ยามเช้าก็ต้องไปที่แนวหน้าแล้วขอรับ!”
“แค่ก...แค่ก ๆ ๆ…” ซูอวิ๋นที่กำลังซดน้ำแกงอยู่พอดี พอได้ยินคำพูดของพี่สามก็สำลักออกมาอย่างแรง ซูหว่านที่นั่งอยู่ข้าง ๆ จึงต้องช่วยลูบหลังให้เขา
พี่สี่ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวตื่นตูมเช่นนี้เสียที?

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...