สองพี่น้องจงใจจัดแจงเรียบร้อยแล้ว ให้สองพี่น้องซูหว่านได้นั่งอยู่ระหว่างกลาง เพื่อจะได้ใกล้ชิดพวกเขา
“จอหงวนซู คุณหนูหกซู ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงเสียที พวกเรารอแต่พวกท่านแล้ว เชิญนั่งก่อนเถิด”
“ขออภัยที่มาช้านัก ทำให้ทุกท่านต้องรอนานแล้ว!” ซูจิ่งประสานมือคารวะเพื่อแสดงความขอโทษ ซูหว่านเองก็ย่อกายคารวะตาม
“น้องหวานหว่านมานั่งนี่เถิด ไม่ถือสาที่ข้าเรียกเจ้าเช่นนี้ใช่หรือไม่? หนิงเซียวเหมยเอ่ยขึ้นก่อน คิดจะจัดแจงให้ซูหว่านไปนั่งข้างกายพี่ชายของตน
“ไม่ถือสาเจ้าค่ะพี่หนิง” ซูหว่านแย้มยิ้มอย่างเป็นพิธี ยังคงยึดถือคติที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม สร้างภาพลักษณ์ภายนอกได้อย่างไร้ที่ติ
ทว่า ซูหว่านกลับมิได้ทำตามความประสงค์ของนางโดยการนั่งข้างหนิงจื้อเชียนอย่างว่าง่าย หากแต่แสร้งทำสนิทสนมคล้องแขนหนิงเซียวเหมย พร้อมเอ่ยขออย่างนุ่มนวลว่า
“ไม่ได้พบพี่หนิงเสียนาน ช่างคิดถึงยิ่งนัก วันนี้ข้าอยากนั่งใกล้ชิดกับพี่หนิงจะได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อนางเอ่ยวาจาที่แสนจริงใจถึงเพียงนี้ออกมาแล้ว หนิงเซียวเหมยจะปฏิเสธได้อย่างไร หากยังยืนกรานที่จะจัดแจงให้นางไปนั่งข้างพี่ชายตนอีก ก็ดูจะจงใจเกินไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มตอบรับพลางจูงมือนางแล้วกล่าวว่า
“ย่อมได้อยู่แล้ว เจ้าเต็มใจที่จะใกล้ชิดกับข้า ข้าดีใจยังไม่ทันเลย!”
ซูจิ่งที่อยู่ข้าง ๆ อดที่จะยกมุมปากขึ้นมิได้ ชื่นชมความหลักแหลมของน้องสาวอยู่ในใจ
สุดท้าย ซูหว่านจึงได้นั่งลงข้างกายหนิงเซียวเหมย ส่วนซูจิ่งก็นั่งลงข้างหนิงจื้อเชียน
ครั้นเพิ่งนั่งลง คุณชายบุตรเจ้าเมืองก็เริ่มหาเรื่อง
“จอหงวนซู วันนี้ท่านมาช้า ทำให้พวกเรารอนานนัก ต้องลงโทษตนเองโดยการดื่มสามจอก ส่วนคุณหนูหกเป็นสตรี ย่อมได้รับสิทธิ์พิเศษ ลงโทษเพียงจอกเดียวก็พอ”
ซูจิ่งเห็นแก่หน้าของท่านเจ้าเมือง จึงยอมรับการลงโทษนั้น
“ขอรับ ข้าสมควรถูกลงโทษ เพียงแต่ว่าน้องสาวของข้าคอไม่แข็งนัก สุราจอกนั้นของนาง ข้าจะดื่มแทนนางเอง” ซูจิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วซูหว่านคอแข็งหรือไม่ แต่เขาก็ไม่ปรารถนาให้นางต้องดื่มสุรา
“ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะจอหงวนซู สุราในวันนี้หมักจากดอกฝูหรง รสชาติหวานละมุนชุ่มคอ ยากที่จะเมามาย ที่พวกเราสั่งสุราฝูหรงมาเป็นพิเศษก็เพราะคำนึงว่าวันนี้มีสตรีอยู่ด้วย” ในเวลานี้ หนิงเซียวเหมยจึงเอ่ยอธิบาย
“สุราที่หมักจากดอกฝูหรงหรือ เช่นนั้นข้าคงต้องลองชิมดูเสียแล้ว” เมื่อได้ยินว่าเป็นสุราดอกฝูหรง ซูหว่านจึงเกิดความสนใจขึ้นมา
นางรินสุราให้ตนเองหนึ่งจอก แล้วยกขึ้นเตรียมชนจอกกับพี่ชาย
เมื่อเห็นนางมีท่าทีสนใจ ซูจิ่งก็ไม่คิดจะขัดความเบิกบานของนาง อย่างไรเสียตนเองก็คอแข็งนัก หากนางเมามายก็ยังมีเขาอยู่ทั้งคน
สองพี่น้องชนจอกกัน ซูหว่านค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดจอก สุราฝูหรงนี้เป็นดั่งที่หนิงเซียวเหมยกล่าวไว้ รสชาติหวานละมุนชุ่มคอ แต่ก็มิได้หวานจนเกินไป หลังจากดื่มแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกฝูหรงที่อบอวลอยู่ในปาก
ซูจิ่งรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำสอพลอจอมปลอม แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
จากนั้นจึงหลับตาลง รวบรวมสมาธิอย่างตั้งใจ ทุกคนต่างก็รอคอยให้เขาเอื้อนเอ่ยอย่างอดทน
“ฝูหรงผลิบานสะพรั่งเต็มกิ่งก้าน กลิ่นหอมกรุ่นชวนมอง ม่วงแดงสลับสีสันสะท้อนเงาธาราในฤดูใบไม้ร่วง ฟังเสียงลมขับขานท่องสำราญอยู่ครึ่งวัน”
(ผู้แต่งช่างไร้ความรู้ เค้นสมองแล้วก็ได้เพียงเท่านี้ที่พอจะสัมผัสกันอยู่บ้าง อ่านพอถูไถไปเถิด มิอาจเทียบชั้นปรมาจารย์ได้)
บทกลอนของซูจิ่งนี้ถือว่าตรงตามหัวข้อได้ดี กล่าวถึงภาพดอกฝูหรงที่เบ่งบานเต็มกิ่งก้าน กลิ่นหอมกรุ่นลอยลมเตะจมูกต้องตา สีสันของดอกฝูหรงนั้นมีทั้งสีม่วงและสีแดงสด ทั้งอุทยานฝูหรงยังตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง พวกเขามาชุมนุมกันในวันนี้ สนทนาสังสรรค์กันครึ่งค่อนวัน ก็คงมีความหมายประมาณนั้นกระมัง
หนิงจื้อเชียนเป็นคนแรกที่ปรบมือชื่นชม เพราะซูจิ่งใช้เวลาแต่งกลอนบทนี้ไม่นานนัก กล่าวได้ว่าออกมาจากปากอย่างง่ายดาย
ทุกคนต่างปรบมือตาม พร้อมแซ่ซ้องสรรเสริญในความสามารถด้านกวีของซูจิ่ง
แน่นอนว่าซูจิ่งย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ จึงเอ่ยปากให้พวกเขาแต่งกลอนด้วยเช่นกัน
ทว่าพวกเขาล้วนเป็นพวกรู้อย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ในที่นั้นนอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่มีความสามารถที่แท้จริงเลย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...