ปฏิกิริยาเช่นนี้ของซูหว่าน ทำให้หนิงจื้อเชียนประหลาดใจระคนยินดี อย่างน้อยนางก็ยังยอมให้โอกาสเขา
“ท่านป๋อน้อย ท่านมีอะไรจะพูดหรือ?”
ซูหว่านขี้คร้านจะอ้อมค้อมวกวน จึงเข้าเรื่องโดยตรง
คาดไม่ถึงว่าซูหว่านจะใจร้อนถึงเพียงนี้ หนิงจื้อเชียนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย และดูขวยเขินอยู่บ้าง
“คุณหนูหก...อันที่จริงข้า...ข้า...”
หนิงจื้อเชียนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังกระดากอายเรื่องอันใด
ซูหว่านมองเขา รอดูว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จากนั้นค่อยหาทางปฏิเสธ
“อันที่จริง ตั้งแต่แรกที่ข้าได้พบเจ้าที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซี ข้าก็ไม่อาจลืมเลือนเจ้าได้เลย วันนั้นข้ามิอาจสนทนากับเจ้าได้มากนัก นับเป็นความเสียใจในใจข้ามาโดยตลอด ต่อมาเมื่อข้าได้พบเจ้าอีกครั้งในจวน ข้าก็รู้สึกว่าสวรรค์ช่างเมตตาข้า ที่มอบโอกาสให้เราทั้งสองได้พบเจอกันอีก เมื่อได้ใกล้ชิดกันหลายครั้งหลายครา ข้ายิ่งมิอาจลืมเลือน เฝ้าแต่คิดถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน จนมิอาจหลับลงได้”
“ข้าปรารถนาจะพบหน้าเจ้าอยู่เสมอ แต่เจ้ากลับใจร้ายไม่ยอมให้ข้าได้พบเจอ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะข้ากลัวว่าหากพลาดไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเจ้าอีกเมื่อใด ดังนั้นข้าจึงอยากจะบอกว่า คุณหนูซูหว่าน ข้าพึงใจในตัวเจ้า...”
ขณะที่พูด หนิงจื้อเชียนก็กำชายแขนเสื้อของตนไว้แน่นด้วยความประหม่า เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาซูหว่าน จนกระทั่งถึงประโยคสุดท้าย เขาจึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองนาง และขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว
อันที่จริง เขาชอบซูหว่านมาก ทว่าในใจกลับรู้สึกว่า ในเมื่อเขาชอบซูหว่าน นางก็ต้องตอบตกลง หากนางปฏิเสธ เขาจะรู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงประหม่า
ด้วยฐานะของเขาแล้ว สตรีใดในเมืองเซียงโจวจะปฏิเสธรักจากเขาได้
“เอ่อ ท่านป๋อน้อย...”
“ซูหว่าน!”
ขณะที่ซูหว่านกำลังเรียบเรียงคำพูดเพื่อจะปฏิเสธเขาอยู่นั้นเอง พก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ซูหว่านและหนิงจื้อเชียนหันไปมองต้นเสียงพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเจียงอวี้มาปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด
ยามเดินก็ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้า สองมือของเขาไพล่อยู่ด้านหลัง สีหน้ามิได้สงบนิ่ง ออกจะดูมืดครึ้มเสียด้วยซ้ำ
ดวงตากดต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกซูหว่านเมื่อครู่ยังเจือความรู้สึกที่กำลังข่มกลั้นบางอย่างเอาไว้
คำสารภาพรักของหนิงจื้อเชียนเมื่อสักครู่ ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยเพียงใด
เขาเคยส่งคนไปสืบเรื่องราวของเจียงอวี้ แต่กลับไม่ได้ความอันใดเลย ช่างเป็นบุรุษที่ลึกลับยิ่งนัก ตัวเขาอยู่ที่เซียงโจวล้วนเป็นที่ยกย่องเสมอมา บัดนี้กลับมีบุรุษที่ไม่เกรงกลัวเขา ทั้งยังกล้าเป็นปฏิปักษ์กับเขาอย่างเปิดเผย ซึ่งกระตุ้นความต้องการที่จะเอาชนะของเขาขึ้นมา
“คุณชายผู้นี้ ท่านไม่รู้หรือว่าบุรุษสตรีมิควรใกล้ชิดกันเกินงาม? การกระทำของท่านเช่นนี้ เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของคุณหนูหกต้องมัวหมองได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอวี้จึงก้มลงมองเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขน ซูหว่านสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของเขาในขณะนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก กำลังพยายามข่มกลั้นอย่างสุดความสามารถ หากมิใช่เพราะกำลังอุ้มนางอยู่ เกรงว่าป่านนี้ท่านป๋อน้อยคงถูกโยนลงไปในทะเลสาบแล้ว
ซูหว่านจึงใช้แขนโอบรอบลำคอของเขา แม้มิได้เอ่ยวาจาใด แต่การกระทำก็ได้พิสูจน์ทุกสิ่งแล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจียงอวี้จึงคลายลงอย่างอ่อนโยน ทว่าภาพนั้นกลับทิ่มแทงใจของหนิงจื้อเชียนอย่างลึกซึ้ง
เขาจึงหันไประบายโทสะกับหลิวอวิ๋นและหลิวอิ๋งแทน
“พวกเจ้าสองคน ช่างไม่มีหัวคิดเอาเสียเลย ยังไม่รีบเข้ามาประคองคุณหนูของพวกเจ้าอีก ยอมปล่อยให้นางถูกบุรุษภายนอกล่วงเกินเช่นนี้ได้อย่างไร?” หนิงจื้อเชียนกัดฟันกล่าว
หลิวอวิ๋นและหลิวอิ๋งสบตากัน ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอันใด และไม่คิดจะขยับเขยื้อน
“ข้ากับหวานหว่านมีใจให้กัน จะเรียกว่าการล่วงเกินได้อย่างไร ท่านป๋อน้อยกล่าวเกินไปแล้ว ตรงกันข้าม ท่านต่างหากที่กล่าวถ้อยคำว่าเฝ้าแต่คิดถึงทั้งวันทั้งคืน จนมิอาจหลับลง ต่อหน้าสตรีในที่แจ้งเช่นนี้ ถึงจะเรียกว่าการล่วงเกินอย่างแท้จริง”
น้ำเสียงของเจียงอวี้ราบเรียบ เพียงแค่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แรงกดดันอันไร้รูปนั้นก็ทำให้หนิงจื้อเชียนรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...