เจียงอวี้อุ้มซูหว่านแล้วหันหลังเดินจากไปทันที ซูหว่านนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายของตนยังอยู่ที่ศาลา จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า
“พี่ใหญ่ของข้ายังอยู่ที่ศาลาฝูหรงนะเจ้าคะ!”
“ข้าให้หลิวอวิ๋นไปแจ้งเขาแล้วว่าตอนนี้เจ้าเมาแล้ว”
เจียงอวี้หึงหวงอย่างยิ่ง เขาเพิ่งจากไปเพียงไม่กี่วัน ก็เกือบจะมีคนฉวยโอกาสเสียแล้ว หากวันหน้าเขาต้องจากนางไปนาน มิต้องกลุ้มใจทุกวันว่าจะมีใครมาแย่งนางไปจากเขาหรือ?
“ก็ได้เจ้าค่ะ...” ซูหว่านจนปัญญา ทำได้เพียงปล่อยให้เขาอุ้มนางจากไป
นางโอบรอบลำคอของเขาแล้วลอบชำเลืองมองไปด้านหลัง ก็เห็นว่าหนิงจื้อเชียนยังคงยืนนิ่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม นางได้แต่คิดในใจ แย่แล้ว แย่แล้ว ล่วงเกินคนเข้าแล้ว
หากท่านป๋อน้อยเกิดโมโหขึ้นมาแล้วหาเรื่องกลั่นแกล้งนางจะทำอย่างไรดี ถึงตอนนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อกิจการของครอบครัวนางได้
“ทำไมกัน ยังตัดใจไม่ลงหรือ?”
คราวนี้ถึงทีของเจียงอวี้ที่ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบ้างแล้ว เมื่อซูหว่านได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็หล่นวูบ
เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดนางจึงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย?
“มิได้ ๆ ข้าก็แค่มองเท่านั้น มิได้ตัดใจไม่ลงเสียหน่อย” นางรีบร้อนอธิบาย
เมื่อเดินมาถึงหัวโค้ง จู่ ๆ เจียงอวี้ก็วางนางลงกับพื้น ให้เดินด้วยตนเอง ทั้งยังแสดงท่าทีเคืองด้วย
“ดูท่าเจ้าก็มิได้เมามายเท่าใด สติสัมปชัญญะยังครบถ้วนดี เดินเองเถิด”
เจียงอวี้เม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้าฉายแววดื้อรั้นอย่างบอกไม่ถูก ในใจนั้นหึงหวงจนแทบคลั่ง ทว่าก็ยังอดกลั้นเอาไว้
ซูหว่านกลับรู้สึกว่าท่าทีของเขาในยามนี้น่าเอ็นดูยิ่งนัก นางก้มหน้าลอบยิ้ม แล้วเดินตามหลังเขาไปเงียบ ๆ
ด้วยช่วงขาที่ยาวของเจียงอวี้ ทำให้ยามที่เขาก้าวเดินเร็ว คนบางคนจำต้องวิ่งเหยาะ ๆ จึงจะตามทัน
“ท่านเดินช้าลงหน่อยได้หรือไม่ รอข้าด้วย” ซูหว่านเอ่ยขอร้องจากเบื้องหลัง
แม้ปากจะไม่ได้เอ่ย แต่ฝีเท้ากลับชะลอลงอย่างโดยไม่รู้ตัว
รถม้าของเขารออยู่ที่ปลายสุดของสะพานโค้ง ทั้งสองเดินข้ามสะพานไปทีละคน เมื่อจะขึ้นรถม้า เจียงอวี้ก้าวขึ้นไปก่อน ซูหว่านคาดว่าเขาคงไม่ยื่นมือมาช่วยนางเป็นแน่ แต่ผลกลับเป็นว่า เขายังคงยื่นมือมาให้นางอยู่ดี
ยังคงเป็นสีหน้าดื้อรั้นเช่นเดิม แม้จะยื่นมือมาให้ แต่เขากลับไม่ยอมมองหน้านางแม้แต่น้อย เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ
ซูหว่านยื่นมือให้เขา แทบไม่ต้องออกแรงอันใด เพียงเขาดึงเบา ๆ ก็พานางขึ้นไปบนรถม้าได้อย่างง่ายดาย
รถม้าของเจียงอวี้ทั้งใหญ่โตและหรูหรา เมื่อเขาผลักประตูเปิดออก ซูหว่านจึงได้พินิจดูอย่างละเอียดแล้วพบว่าการตกแต่งภายในนั้นแตกต่างจากรถม้าทั่วไป
เพราะด้านในทั้งหมดปูด้วยขนสัตว์นุ่มนิ่ม รอบด้านยังมีหมอนอิงอีกหลายใบ มีเพียงโต๊ะน้ำชาตัวเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะมีชุดน้ำชา ขนม และผลไม้วางเตรียมไว้
“เข้าไปแล้วถอดรองเท้าก่อน”
เจียงอวี้ลอบมองนางแวบหนึ่ง ก็เห็นว่านางกำลังเพลิดเพลินกับการกินองุ่น
คนไม่มีหัวใจ แค่ของกินไม่กี่คำก็ลืมเขาเสียแล้ว แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น มุมปากของเจียงอวี้ก็ยังเผลอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะรีบหุบลง
ซูหว่านขยับเข้าไปนั่งชิดข้างกายเขา ใช้มือเท้าคางพลางจ้องมองใบหน้าเขาตาไม่กะพริบ
การถูกจ้องมองเช่นนั้นทำให้ใบหน้าซีกหนึ่งของเจียงอวี้ร้อนผ่าวขึ้นมา เขาแสร้งกระแอมสองครั้งเพื่อกลบเกลื่อน แล้วเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่เป็นธรรมชาติว่า
“เจ้าจ้องข้าเช่นนี้ทำไมกัน?”
“ก็ท่านรูปงามไงเล่า งามแล้วจะให้คนมองมิได้หรือไร?”
ฤทธิ์สุรามิได้ทำให้คนขลาดเขลากล้าหาญขึ้นมาได้ หากแต่ทำให้คนกล้ายิ่งกว่าเดิม ตัวอย่างเช่นซูหว่านในยามนี้ ที่กำลังหยอกเย้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้ารู้ดี” เจียงอวี้เองก็ใช่ว่าจะเจียมตน
ซูหว่านเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งคุกเข่าบนพรมเนื้อนุ่ม ยืดตัวตรงแล้วจ้องมองเจียงอวี้ เจียงอวี้เองก็ไม่รู้ว่านางกำลังจะทำอะไร จึงทำได้เพียงมองตอบกลับไป
ใบหน้าของนางยังคงแดงระเรื่อ ริมฝีปากก็แดงฉ่ำเช่นกัน
ในชั่วพริบตานั้นเอง ซูหว่านรวบรวมความกล้า โน้มตัวเข้าไปสวมกอดรอบคอเขา ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนแก้มของเขา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...