แตกต่างจากครั้งก่อนที่เป็นเพียงสัมผัสแผ่วเบาราวแมลงปอแตะผิวน้ำ ครั้งนี้กลับชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก ริมฝีปากของนางยังคงความเย็นชุ่มฉ่ำจากองุ่น ประทับอยู่บนแก้มของเขาหลายวินาที
ชั่วขณะนั้น เจียงอวี้เพียงรู้สึกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังจะทลายทรวงอกออกมา
“อย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ชอบท่านป๋อน้อง ข้าชอบท่านต่างหาก” ซูหว่านละจากใบหน้าของเขา ใช้สองมือยันกับพรม ใบหน้าเปี่ยมด้วยความจริงใจ ว่านอนสอนง่ายราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่น่าเอ็นดู
แม้ภายในใจเจียงอวี้จะว้าวุ่นอย่างที่สุด แต่ภายนอกยังคงแสร้งทำเป็นเยือกเย็น เขายกชาเย็นขึ้นดื่มรวดเดียวสองจอกติดกัน จึงสงบลงได้บ้าง
“ข้ามิได้โกรธ…”
วาจาที่เขากล่าวออกมานี้ แม้แต่ภูตผีก็คงไม่เชื่อ เห็นได้ชัดว่ายังหึงหวงอยู่เต็มอก แต่พอได้ยินซูหว่านบอกว่าชอบเขา ความปีติยินดีก็เอ่อล้นจนไม่อาจเก็บงำรอยยิ้มที่มุมปากได้
ซูหว่านคิดในใจ เจ้าท่อนไม้นี่ เป็นนางที่ต้องเริ่มก่อนทุกครั้ง ขี้ขลาดนัก
รถม้าโคลงเคลงไปมา ด้านนอกเสียงผู้คนจอแจ ซูหว่านเดิมทีก็เป็นคนประเภทที่พอขึ้นรถม้าเป็นต้องง่วงนอนอยู่แล้ว ยิ่งได้ดื่มสุรามาด้วย ประกอบกับรถม้าที่ตกแต่งไว้อย่างสะดวกสบายเช่นนี้ นางจึงเริ่มง่วงแล้ว
สวนฝูหรงตั้งอยู่ในที่เปลี่ยว ทั้งยังอยู่ห่างจากเรือนน้อยฝูหรงของนางค่อนข้างไกล ซูหว่านเอนกายพิงหมอนอิงข้างกายเจียงอวี้อย่างเซื่องซึม
ภายในใจของเจียงอวี้ยังคงไม่สงบ เขาไม่กล้ามองซูหว่าน แต่ในอกกลับร้อนรุ่มราวไฟสุม
ความรักคือความยับยั้งชั่งใจ การยับยั้งชั่งใจถึงที่สุด คำนี้ดังก้องอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขานั่งขัดสมาธิ สองมือวางอยู่บนหัวเข่า ซูหว่านมองมือคู่นั้นที่เห็นข้อนิ้วเด่นชัด สัญชาตญาณของคนชมชอบมือสวยกำเริบ อยากจับเหลือเกิน
และแล้วนางก็ทำตามใจปรารถนา
มือข้างหนึ่งของนางเอื้อมไปดึงแขนเสื้อของเขา เจียงอวี้ไม่เข้าใจว่านางจะทำสิ่งใดจึงเอียงศีรษะมอง ก็เห็นว่ามือของนางได้วางทาบลงบนมือของเขาแล้ว ราวกับจะส่งสัญญาณบางอย่าง
ครั้งนี้เจียงอวี้ไม่ลังเล ทั้งยังไม่คิดจะอดกลั้น เขารีบพลิกมือกลับไปกุมมือนางไว้ ประสานสิบนิ้วเข้าด้วยกัน
ในวินาทีนั้น ทั้งสองคนต่างก็แย้มยิ้มออกมา คืนดีกันดังเดิมแล้ว พวกเขานั่งมองตากันอย่างเงียบ ๆ สายตาที่เจียงอวี้ใช้มองนาง อ่อนโยนจนแทบจะถักทอเป็นเส้นสายได้
เขาใช้มืออีกข้างแตะใบหน้าของนางเบา ๆ
“หลับเถิด ถึงแล้วข้าจะปลุกเจ้าเอง”
เขาจำได้ว่าซูเฉินเคยบอกว่า ซูหว่านชอบงีบหลับบนรถม้า วันนั้นที่ฝนตกหนักจนล้อรถตกลงไปในหล่มโคลน หากไม่ใช่เพราะเขาอยู่ที่นั่นด้วย ซูหว่านคงถูกเหวี่ยงกระเด็นออกจากรถม้าไปแล้ว เขาจึงจดจำเรื่องนี้ไว้เสมอ
การที่เขาดัดแปลงรถม้าให้เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อความสะดวกสบายของนาง ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาส วันนี้ในที่สุดก็ได้พานางนั่งรถม้าคันนี้สักครั้ง ดูท่านางจะชอบมากทีเดียว
มันช่างสบายเหลือเกิน พูดได้เลยว่าการที่ซูหว่านได้นั่งบนรถม้าคันนี้ ก็เหมือนได้กลับไปนอนบนเปลไกวในวัยเยาว์ ยากที่จะฝืนทนไม่ให้หลับได้
“ไปเถิด กลับบ้านกัน”
“ได้!”
เจียงอวี้และนางลงจากรถม้าตามกันไป ทั้งสองกลับไปยังสวนด้านหลังเพื่อชมดอกฝูหรง ซูหว่านดึงเขาไปยังสวนด้านหลังอย่างตื่นเต้น พลางบอกเขาว่าตอนที่เขาจากไปดอกฝูหรงยังบานไม่เต็มที่ รอจนเขากลับมา ก็เป็นเวลาที่มันเบ่งบานสะพรั่งที่สุดพอดี
……
กลับมาทางด้านซูจิ่ง เขากำลังนั่งฟังเหล่าสตรีบรรเลงพิณและดีดผีผาอยู่ในศาลา ทั้งยังถูกคะยั้นคะยอให้ดื่มสุราไม่หยุด เมื่อหันกลับไปมอง ก็พบว่าท่านป๋อน้อยหายไปเสียแล้ว
ในใจเกิดความสงสัยขึ้นมา คิดว่าน้องสาวลุกจากโต๊ะแล้ว ท่านป๋อน้อยก็ลุกไปด้วยเช่นกัน หรือว่าเขาจะไปตามหานางกัน
ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพัง ย่อมง่ายที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่ค่อยไว้วางใจในนิสัยใจคอของท่านป๋อน้อยเท่าใดนัก จึงคิดหาเหตุผลเพื่อออกไปตามหา
ทว่า เขายังไม่ทันได้เอ่ยปากหลิวอวิ๋นก็เดินเข้ามา บอกเขาว่าซูหว่านเมาแล้วและถูกเจียงอวี้พาตัวไปแล้ว ขอให้เขามิต้องเป็นกังวล
ซูจิ่งประหลาดใจยิ่งนัก เหตุใดอาอวี้จึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
แต่ว่า คำถามนี้คงต้องเก็บไว้ถามเมื่อกลับไปถึงเรือนแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ อาอวี้เป็นคนที่เขาไว้ใจได้ ซูหว่านอยู่กับเขาย่อมไม่มีปัญหาใดให้ต้องกังวลแล้ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...