“พี่ใหญ่สอบได้จอหงวนหรือ? นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก!” สีหน้าและน้ำเสียงของกู้เย่ว์ฉายแววประหลาดใจระคนยินดี
เพราะปกติแล้วนางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าใดนัก จึงไม่ล่วงรู้เลยว่าจอหงวนประจำปีนี้คือซูจิ่ง
“ที่แท้จอหงวนประจำปีนี้ก็คือพี่ใหญ่ของพวกเจ้านี่เอง ข้าเคยมีวาสนาได้พบหน้าเขาครั้งหนึ่ง ช่างเป็นผู้ที่องอาจผ่าเผย จิตใจสูงส่งโดยแท้ กลยุทธ์การจัดการชลประทานของเขาขึ้นชื่อลือชาไปทั่วหล้า นับเป็นวาสนาของเหล่าราษฎรแห่งลุ่มน้ำเซวียนเหอแล้ว”
ซูจิ่งเองก็เป็นหนึ่งในรายชื่อที่มู่หรงเซิงต้องการดึงตัวมาร่วมงานด้วย เขาเคยพบซูจิ่งและได้สนทนาด้วยสองสามประโยค จึงมั่นใจว่าในภายภาคหน้าคนผู้นี้จะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่
ในวันข้างหน้า หากเขาสามารถขึ้นครองบัลลังก์ ย่อมต้องการคนหนุ่มที่มีปฏิภาณไหวพริบและความสามารถเช่นนี้ มาช่วยชำระล้างความโสมมที่สั่งสมอยู่ในราชสำนักมานานหลายปีให้หมดสิ้นไป
“การที่พี่ใหญ่สอบได้ตำแหน่งสูงเช่นนี้ ในที่สุดท่านพ่อท่านแม่ก็หมดเรื่องความทุกข์ยากลำบากเสียที วงศ์ตระกูลซูก็พลอยได้รับเกียรติไปด้วย” กู้เย่ว์รู้สึกยินดีกับพี่ใหญ่ของนางจากใจจริง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อซูหว่านได้พบกับกู้เย่ว์อีกครั้ง กลับรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เห็นได้จากทั้งคำพูดและอารมณ์ที่ฉายชัดในแววตา เมื่อเทียบกับท่าทีของนางในอดีตแล้ว ช่างดูสูงส่งขึ้น ราวกับไม่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่เป็นเพียงเปลือกนอกอีกต่อไป
อีกทั้งแววตาที่เคยมองนางอย่างไม่ยอมรับก่อนหน้านี้ บัดนี้กลับเปี่ยมด้วยความจริงใจ ให้ความรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนสวมรอยเข้ามาอยู่ในร่าง
อันที่จริง ก่อนหน้านี้นางก็สัมผัสได้ว่ากู้เย่ว์ไม่ชอบพอในตัวนาง ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้นางตัดใจได้จริง ๆ หรือเป็นเพราะการแสดงอันแนบเนียนกันแน่
หรืออาจเป็นนางที่คิดมากไปเอง ยังจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วตอนที่พี่สี่ประสบเรื่องร้าย กู้เย่ว์เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมเย่ว์หม่านซีเพื่อขอขมา แต่ผลลัพธ์คือทุกคนต่างผิดหวังในตัวนางอย่างที่สุด บรรยากาศในตอนนั้นจึงตึงเครียดนัก ตอนที่นางจากไป ยังมองมาที่ตนด้วยสายตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ถึงแม้พวกเจ้าทั้งสองจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันบ้าง แต่ก็เป็นเพราะความบาดหมางในรุ่นก่อน กล่าวได้ว่าพวกเจ้าต่างก็เป็นเหยื่อ หากสามารถละทิ้งความบาดหมางในอดีต และเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ ก็จะเป็นเรื่องเล่าขานอันงดงาม!”
ซูหว่านไม่รู้เลยว่ากู้เย่ว์ไปพูดกระไรกับมู่หรงเซิงมาบ้าง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเสียยิ่งกว่าตัวนางเองเสียอีก
มาตอนนี้ เขายังถึงกับอาสาเป็นกาวใจให้พวกนางทั้งสองคืนดีกัน
ซูหว่านทำเพียงแย้มยิ้ม แล้วยกชาขึ้นจิบเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วนใจ อันที่จริงแล้วนางเองก็ไม่เคยคิดร้ายต่อกู้เย่ว์ก่อน
ฝ่ายกู้เย่ว์เองก็ไม่ได้สานต่อบทสนทนานี้เช่นกัน นางเพียงหยิบขนมชิ้นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาส่งให้ซูหว่านด้วยสองมือ
“ข้าใคร่รู้นัก เจียงซื่อจื่อรู้จักกับคุณหนูซูได้อย่างไรกัน?”
มู่หรงเซิงนั้นมีโอกาสพบปะกับเจียงอวี้น้อยยิ่งนัก เพียงเคยพบหน้าเขาครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงพระราชทานยามค่ำคืนที่วังหลวงเมื่อสองปีก่อนที่เมืองหลวง
เจียงอวี้สวมหน้ากากไว้ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ต่อมาบังเอิญพบกันอีกครั้งที่สวนด้านหลัง พอดีกับที่ได้เห็นโฉมหน้าของเขายามถอดหน้ากากออก
หากมิใช่เพราะความบังเอิญในครั้งนั้น เมื่อครู่ที่ได้พบบนเรือ เขาคงจำไม่ได้เป็นแน่
เหตุที่เคยพบกันเพียงครั้งเดียวก็ยังจดจำได้นั้น ต้องยกความดีความชอบให้กับรูปลักษณ์ที่งดงามเป็นเลิศของเจียงอวี้ ที่ทำให้ผู้คนพบเห็นแล้วยากจะลืมเลือน
เจียงอวี้ ซื่อจื่อแห่งจวนเจียงกั๋วกง ตั้งแต่วัยเยาว์ได้ไปร่ำเรียนวิชาที่สำนักเฟิงเย่ว์ นานครั้งจึงจะกลับมายังเมืองหลวง แม้ยามต้องออกงานสังคม ก็มักจะสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้เสมอ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่า เจียงซื่อจื่อผู้นี้คงมีรูปโฉมอัปลักษณ์ หรืออาจมีบาดแผลบนใบหน้า จึงไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ทว่าพวกเขาล้วนคาดเดาผิดไปถนัด แท้จริงแล้วเป็นเพราะรูปโฉมของเจียงซื่อจื่อนั้นงดงามโดดเด่นจนสะดุดตาเกินไปต่างหาก เขาจึงเลือกที่จะปกปิดมันไว้
มู่หรงเซิงนั้นเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในเมืองหลวง ใบหน้าของเขาเปรียบประดุจชายในฝันของเหล่าหญิงสาวนับพัน ทว่าในสายตาของใครหลายคน องค์ชายห้ามู่หรงเซิงกลับไม่ใส่ใจในราชการบ้านเมือง ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ บรรดาตระกูลขุนนางที่มีบุตรสาวถึงวัยออกเรือนจึงน้อยคนนักที่จะคิดส่งเสริมบุตรสาวของตนให้แต่งกับเขา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...