ซูหว่านและกู้เย่ว์เดินนำอยู่ด้านหน้า แม้จะเดินเคียงข้างกัน ทว่าทั้งสองกลับแทบไม่ได้สนทนา ทั้งระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่ยังกว้างพอให้คนผู้หนึ่งแทรกกลางได้
เมื่อหยุดลงที่แผงขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง สายตาของทั้งสองต่างจับจ้องไปยังดอกไม้ไข่มุกชิ้นเดียวกัน พร้อมยื่นมือออกไปหมายจะหยิบขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ครั้นเมื่อหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายก็ต้องตาต้องใจของชิ้นเดียวกัน จึงพร้อมใจกันชักมือกลับอย่างรู้งานแล้วหันไปเลือกชมของชิ้นอื่นแทน ท้ายที่สุดแล้ว ปิ่นดอกไม้ที่ต้องตาแต่แรกนั้นก็หาได้มีผู้ใดเลือกไป
ความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาวช่างซับซ้อนนัก ยากจะหาเหตุผลมาอธิบายได้
ส่วนเจียงอวี้และมู่หรงเซิงที่อยู่ด้านหลังนั้น นอกเหนือไปจากการเป็นผู้จ่ายเงินแล้ว ก็ยังคงพูดคุยกันตลอดเวลา นางมิได้ตั้งใจฟัง เพียงแต่เห็นริมฝีปากของทั้งสองขยับขึ้นลงเท่านั้น
สีหน้าของเจียงอวี้ค่อนข้างเย็นชา เขาเป็นฝ่ายเอ่ยน้อยคำ ส่วนใหญ่มักเป็นมู่หรงเซิงที่เป็นฝ่ายพูด และเขาเป็นฝ่ายตอบ
ซูหว่านย่อมรู้ดีว่า เรื่องที่สนทนากันนั้นคงไม่พ้นเรื่องการเมือง หรืออาจเป็นหัวข้อที่ไม่สะดวกจะเปิดเผยต่อสาธารณะ
นางและกู้เย่ว์ต่างก็มิได้เลือกที่จะเข้าไปรบกวน
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ยังมิได้บรรยายถึงลักษณะหน้าตาของมู่หรงเซิงอย่างละเอียด เขามีดวงตาจิ้งจอกอันเป็นเอกลักษณ์ ตรงหางตามีไฝหยาดน้ำตาเม็ดเล็กประดับอยู่ ผิวของเขาขาวผ่อง ริมฝีปากแดงระเรื่อ ทำให้เขามีความงามที่ดูนุ่มนวลอ่อนช้อย
กล่าวได้ว่าเขาคือบุรุษผู้มีใบหน้างดงามดุจสตรี ซึ่งแตกต่างจากความหล่อเหลาของเจียงอวี้ แม้ว่ามู่หรงเซิงจะงดงามราวกับปีศาจ แต่รัศมีแห่งความองอาจบนร่างของเขาก็มิอาจละเลยได้ ทั้งยังมีกลิ่นอายของความเป็นบุรุษเพศอย่างเข้มข้น
กล่าวโดยสรุป หากนำคนทั้งสองไปเขียนเป็นนิยายชายรักชาย เจียงอวี้ต้องเป็นฝ่ายรุกอย่างมิต้องสงสัย
โอ๊ย นี่นางกำลังคิดอะไรอยู่ ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว ซูหว่านรู้สึกว่าตนเองยิ่งคิดก็ยิ่งเหลวไหล นางไม่ควรสงสัยในรสนิยมทางเพศของเจียงอวี้เลย
เมื่อเดินไปเรื่อย ๆ มือทั้งสองข้างของผู้รับหน้าที่ถือของก็เต็มไปด้วยสัมภาระ รัตติกาลล่วงลึกแล้ว จึงไม่มีอะไรน่าสนใจให้เดินชมอีก
อันที่จริง สองสาวไม่อยากจะเดินเที่ยวต่อมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ในใจของกู้เย่ว์รู้ดีว่า มู่หรงเซิงของนางจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผูกมิตรกับทายาทของเจียงกั๋วกง นางจึงจงใจถ่วงเวลา เพื่อให้บุรุษทั้งสองได้มีโอกาสใกล้ชิดและสนทนากันมากขึ้น
พ่อค้าแม่ค้าบนถนนก็เริ่มทยอยเก็บแผงแล้ว ในที่สุดก็เป็นเจียงอวี้ที่เอ่ยปากขึ้นก่อน ว่าสำหรับวันนี้คงต้องพอเพียงเท่านี้
“คุณชายเซิง ราตรีล่วงลึกมากแล้ว หว่านหว่านเดินทางมาหลายวันจนเหนื่อยล้า วันนี้เพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองเหยี่ยนโจว ข้าจะพานางกลับไปพักผ่อนก่อน วันนี้คงต้องเที่ยวกันเพียงเท่านี้!”
“พวกเจ้าพักอยู่ที่ใด ข้าจะให้คนไปส่ง” มู่หรงเซิงเอ่ยเสนอ
“มิต้องรบกวนท่านแล้ว วันนี้ขอบคุณสำหรับน้ำใจ โอกาสหน้าหากมีวาสนาคงได้พบกันใหม่” เจียงอวี้ประสานมือคารวะเขา ซูหว่านจึงย่อกายคารวะตาม ให้ความรู้สึกดั่งสามีเอ่ยนำ ภรรยาเอ่ยตาม
“ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ในใจข้าแล้ว เจ้าย่อมงดงามที่สุดเสมอ แต่เจียงซื่อจื่อน่าจะไม่ใช่คนประเภทที่มองคนเพียงภายนอกเป็นแน่ แม่นางซูผู้นี้คงต้องมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว จึงสามารถครองใจซื่อจื่อไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว เฉกเช่นที่ข้ามีใจให้เจ้า” มู่หรงเซิงหันไปมองกู้เย่ว์ด้วยแววตาอ่อนโยน
คู่พระนางก็คือคู่พระนาง มิอาจเปลี่ยนแปลงได้
มู่หรงเซิงไม่เพียงแต่พูด ทว่ายังไม่ลืมที่จะแสดงความรักใคร่ต่อกู้เย่ว์ จนทำเอานางเขินอาย ก้มหน้าลงต่ำจนแก้มแดงระเรื่อ
ส่วนทางด้านของซูหว่าน เจียงอวี้เดินเคียงข้างนางอย่างเงียบ ๆ ซูหว่านเองก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดเขา ค่ำคืนนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยฐานะต่อหน้านาง แต่นางกลับดูไม่มีทีท่าประหลาดใจแม้แต่น้อย มิได้เอ่ยถามเขาสักคำ
“เจ้าไม่มีอะไรอยากจะถามข้างั้นหรือ?” ในที่สุดเจียงอวี้ก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว เอ่ยปากถามขึ้นมา
เมื่อได้ยิน ซูหว่านจึงเอียงคอมองเขา พลางเอ่ยเย้าหยอกว่า
“ท่านอยากให้ข้าถามอะไรท่านหรือเจ้าคะ ท่านซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์?”
เจ้าหนูน้อยผู้นี้ กำลังประชดประชันเขาอยู่ ทำเอาเขาไปต่อไม่ถูก ได้แต่ขบคิดอยู่เนิ่นนานกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ประโยคหนึ่ง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...