ใบหน้าของเจียงอวี้ซีดขาวเล็กน้อย ริมฝีปากก็ขาวซีด เขาหลับตาพักผ่อนตลอดทาง
ภายนอกหิมะตกหนัก บนถนนมีหิมะขาวโพลน
ฝั่งของซูหว่าน พอฟ้าสางก็ออกเดินทางกันอีกครั้ง นางหยิบเสื้อคลุมมาห่อหุ้มร่างกายจนมิดชิด
คาดไม่ถึงว่าหิมะจะตกหนักถึงเพียงนี้ ผ่านไปทั้งคืนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บนพื้นเต็มไปด้วยหิมะที่ทับถมกัน หนาวกว่าเมื่อวานเสียอีก
ใบหน้าของซูหว่านแข็งจนแดงก่ำ นางใช้เสื้อคลุมห่อหุ้มร่างกายจนมิดชิด
หลังจากขึ้นม้าอีกครั้ง คราวนี้นางเลือกที่จะนั่งซ้อนท้ายหลิวอวิ๋น เพื่อที่ว่าเมื่อม้าเริ่มวิ่งควบทะยานไปเบื้องหน้า นางจะได้ไม่ต้องปะทะกับลมเหนือที่พัดมา
จากที่นี่ไปยังแม่น้ำโม่ไม่ไกลแล้ว อย่างมากก็อีกหนึ่งชั่วยามก็ถึง
เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง บนท้องฟ้าพลันปรากฏนกเหยี่ยวตัวหนึ่งบินมา มันบินวนอยู่เหนือกลุ่มของซูหว่านสามรอบ จากนั้นจึงส่งเสียงร้องก้องกังวานสามครั้งติดต่อกัน ดังแหวกอากาศ
เหล่าองครักษ์ต่างหยุดม้าและแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากได้ยินเสียงร้องครั้งที่สาม ทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกโดยมิได้นัดหมาย
หลิวอวิ๋นยิ้มออกมา ซูหว่านไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จึงได้แต่สะกิดหลังนางอย่างงุนงง
องครักษ์ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากไขข้อข้องใจให้นางพอดี
“นี่คือนกเหยี่ยวที่นายน้อยฝึกฝนด้วยตนเอง มีไว้สำหรับส่งข่าวโดยเฉพาะ หากมันร้องสองครั้งหมายถึงประสบภัย แต่ถ้าร้องสามครั้งแสดงว่าปลอดภัยดี ในยามนี้นายน้อยน่าจะพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณหนูหกวางใจได้แล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ซูหว่านก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น และหัวเราะออกมา
“เขาชนะแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ดีจริง ๆ สมแล้วที่เป็นเขา!”
นางรู้อยู่แล้วว่า เจียงอวี้เองก็เป็นบุตรแห่งโชค ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายขึ้นได้
“เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถิด ข้าหนาวจะแย่อยู่แล้ว”
เมื่อความกังวลในใจของซูหว่านคลายลงแล้ว นางก็สามารถพูดคุยได้อย่างสบายใจ
คณะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำโม่ ที่นี่ไม่มีการเรียกขานว่าลำน้ำ สายน้ำทั้งหมดล้วนถูกเรียกว่าแม่น้ำ แน่นอนว่าทะเลก็ยังคงเป็นทะเล
เมื่อมองไปยังแม่น้ำโม่ ก็เห็นว่าสองฟากฝั่งนั้นกว้างขวาง บนผืนน้ำมีเรือน้อยใหญ่จอดเทียบท่าอยู่แน่นขนัด ที่ท่าเรือผู้คนกำลังวุ่นวายอยู่กับการขนถ่ายสินค้า
องครักษ์ผู้หนึ่งเดินไปยังท่าเรือ เข้าไปกระซิบกระซาบกับผู้ดูแลสองสามคำ พร้อมทั้งหยิบป้ายประจำเอวออกมาให้เขาดู
องครักษ์ผู้หนึ่งเดินไปยังท่าเรือ เข้าไปกระซิบกระซาบกับผู้ดูแลสองสามคำ พร้อมทั้งหยิบป้ายแขวนเอวออกมาให้เขาดู
สาวใช้มีกิริยานอบน้อมและเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่ซูหว่านมาถึง ทุกคนในเรือก็เริ่มทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
บ้างก็ไปเตรียมน้ำร้อน บ้างก็ไปเตรียมเสื้อผ้า บ้างก็นำน้ำแกงมาให้ พร้อมด้วยผลไม้และของว่างอีกมากมาย
นางดื่มน้ำแกงโสมไปหนึ่งถ้วย เหล่าสาวใช้ก็เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ในการอาบน้ำ แต่นางไม่คุ้นชินกับการมีคนอยู่มากมาย จึงบอกให้พวกนางออกไปทั้งหมด แล้วแช่ตัวอยู่ในอ่างอย่างสงบเพียงลำพัง
หลังจากที่ควบม้าเร็วมาตลอดทั้งคืนโดยแทบไม่ได้นอน บาดแผลถลอกที่ต้นขาก็ปวดแสบเมื่อสัมผัสกับน้ำร้อน แต่เมื่อได้แช่กายลงในน้ำอุ่นเช่นนี้ ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาก็ถาโถมเข้ามาจนรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง
ทว่าการแช่น้ำร้อนนานเกินไปทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ เมื่อเห็นว่าได้เวลาพอสมควรแล้วนางจึงลุกขึ้น
ด้านนอกมีสำรับอาหารเตรียมพร้อมไว้บนโต๊ะอีกครา เมื่อได้รู้ว่าเจียงอวี้ปลอดภัยแล้ว ทั้งยังได้ชำระร่างกายอย่างสบายตัว ความอยากอาหารก็เพิ่มพูนขึ้น โจ๊กเนื้อที่เคี่ยวจนข้นเหนียวนั้นรสชาติดีและช่วยบำรุงกระเพาะยิ่งนัก นางซดรวดเดียวหมดไปถึงสองชามใหญ่
องครักษ์แจ้งว่า เจียงอวี้น่าจะมาถึงในช่วงบ่ายหรือพลบค่ำ นางจึงถือโอกาสนี้พักผ่อนให้เต็มที่
เจียงอวี้ออกเดินทางตอนฟ้าเกือบสว่าง ทั้งรถม้าก็เคลื่อนตัวได้ช้ากว่าการขี่ม้าโดยตรง คาดว่ากว่าจะมาถึงท่าเรือแม่น้ำโม่ก็คงเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
นางตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน เจียงอวี้ก็มาถึงพอดี
“คุณหนู คุณชายเจียงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ!” หลิวอิ๋งวิ่งเข้ามารายงานด้วยความยินดี

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...