ซุนเป่ยโต่วปักเข็มหลายเล่มลงบนศีรษะของเจ้าสำนักเฒ่า ทั้งยังฝังเข็มลงบนจุดชีพจรที่มืออีกหลายแห่ง สุดท้ายจึงเปิดขวดหยาออก จ่อไว้ที่ปลายจมูกเพื่อให้เจ้าสำนักเฒ่าได้สูดดมกลิ่นยาเข้าไป เพียงชั่วครู่ เจ้าสำนักเฒ่าก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ
ซุนเป่ยโต่วถอนเข็มเงินออก แล้วจึงหลีกทางให้เจียงอวี้
เจียงอวี้คุกเข่าลงอีกครั้ง
“ท่านตา ข้าเอง อาอวี้กลับมาแล้วขอรับ!”
เจ้าสำนักเฒ่าลืมตาขึ้น สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาก รูปร่างซูบผอม ไม่เหมือนกับที่ซูหว่านเคยจินตนาการไว้เลย มีเพียงความอ่อนแอ ผอมแห้ง และไร้ซึ่งชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
หนวดเคราและเส้นผมขาวโพลน แขนที่ผอมติดกระดูกเต็มไปด้วยจุดด่างดำ เมื่อซูหว่านเห็นเจ้าสำนักเฒ่าในสภาพเช่นนี้ ในใจเองก็รู้สึกเจ็บปวด
ใครเลยจะคาดคิดว่า เขาผู้นี้คือเจียงเจิ้นผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวัยหนุ่ม ผู้ก่อตั้งสำนักเฟิงเย่ว์ขึ้นด้วยตัวคนเดียว และขยายอิทธิพลไปทั่วทั้งแคว้นจิ้น?
“อาอวี้กลับมาแล้ว...” เจ้าสำนักเฒ่าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงโรยรา
“ขอรับท่านตา ตอนนี้ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” ขอบตาของเจียงอวี้แดงก่ำ ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“ข้าเกรงว่าจะยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว ในเมื่อ...ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้น...เช่นนั้นก็คงต้องรบกวนหมอเทวดาซุนช่วยต่อลมหายใจให้ข้าที อวิ๋นเฮ่อ เจ้าไปเรียกผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักเฟิงเย่ว์…มารวมตัวกันที่ตำหนักอู๋จี๋...ข้าจะประกาศด้วยตนเองว่า เจียงอวี้คือเจ้าสำนัก…ของสำนักเฟิงเย่ว์คนต่อไป!”
เจ้าสำนักเฒ่าพูดอย่างยากลำบาก ต้องเค้นพลังและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
น้ำตาของเจียงอวี้ไหลรินลงมาอย่างเงียบงันในทันที เขากุมมือของท่านตาไว้แน่น ในความทรงจำของเขา ท่านตาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ ตราบใดที่มีท่านตาอยู่ ก็ไม่มีเรื่องใดที่แก้ไขไม่ได้
ท่านตาสอนวิชาป้องกันตัวและหลักการใช้ชีวิตให้เขา อบรมสั่งสอนอย่างจริงจังแต่แฝงไว้ด้วยความเมตตา ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นท่านตาในสภาพที่ร่วงโรยถึงเพียงนี้ เขาจึงได้ตระหนักว่า แม้แต่วีรบุรุษก็มีวันโรยรา เพียงแต่ท่านตาของเขากลับต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ท่านควรจะจากไปอย่างสงบโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด
“เด็กน้อย อย่าร้องไห้...ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้มแข็งตลอดไป ตาเกรงว่า...คงจะอยู่กับเจ้าได้เพียงเท่านี้แล้ว...” เจียงเจิ้นพยายามยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก หวังจะลูบศีรษะของเขาเหมือนเช่นในวัยเยาว์
เจียงอวี้เข้าใจ เขาจึงขยับเข้าไปใกล้ขึ้น เพื่อให้ท่านตาสัมผัสศีรษะของตนได้ถนัด
ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนในที่นั้นตกอยู่ในความเงียบงัน ต่างรู้สึกเศร้าสลดใจ ซูหว่านเองก็เช่นกัน หากเป็นนาง ก็คงยากที่จะทนรับความเจ็บปวดจากการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักได้!
ท่านตาไม่สามารถฝืนทนได้นาน มือข้างนั้นก็ทิ้งลงอย่างหมดแรง หายใจหอบเล็กน้อย
พอได้ยินว่าหลานชายพาสตรีที่ชอบพอมาด้วย เจ้าสำนักเฒ่าก็ยิ้มออกมาทันที รอยยิ้มที่มุมปากนั้นมิได้ปิดบังแม้แต่น้อย
“ดี... ดีมาก แม่หนู ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว?” ท่เจ้าสำนักเฒ่ามองซูหว่านด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความเมตตายิ่งขึ้น
“ท่านตา ข้าอายุสิบห้าปีแล้วเจ้าค่ะ” ซูหว่านตอบอย่างว่าง่าย ยามที่เอ่ยเรียกท่านตา น้ำเสียงของนางก็นุ่มนวลน่าฟัง เป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่ยิ่งนัก
นี่กระไร ริ้วรอยเหี่ยวย่นตรงหางตาของเจ้าสำนักเฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เป็นความยินดีที่ออกมาจากใจจริง
“อืม อายุสิบห้าก็ถือว่าถึงวัยปักปิ่นแล้ว แม่หนูเอ๋ย ปกติแล้วเจ้าเด็กเจียงอวี้ไม่ค่อยพูดค่อยจา นิสัยค่อนข้างเย็นชา แต่เขาเป็นเด็กดี เจ้าวางใจเถิด ต่อไปเมื่อเจ้าแต่งให้เขา เขาจะไม่ทำให้เจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจแน่นอน”
เมื่อได้พบหน้าหลานสะใภ้ เจ้าสำนักเฒ่าก็รู้สึกราวกับว่าเรี่ยวแรงกลับคืนมา อาจเป็นเพราะมีความสุขมากจนเกินไป ถึงขนาดที่ว่ายามพูดก็ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้ว
ซูหว่านได้ยินดังนั้นจึงสบตากับเจียงอวี้ สายตาที่เขามองนางนั้นอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู
เมื่อเจ้าสำนักเฒ่าเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งยินดีขึ้นไปอีก สายตาที่เด็กทั้งสองมองกันนั้นเปี่ยมไปด้วยความรัก ดูแล้วไม่เหมือนกำลังหลอกลวงเขา เขาเองย่อมรู้จักหลานชายของตนดี หากไม่ได้รักใคร่จากใจจริง เขาคงไม่แสดงแววตาเช่นนี้ออกมาเป็นแน่

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...